Saturday, November 29, 2008

หลงทาง


เที่ยวเดินทางมักมีจุดกำเนิดจากอะไรบางอย่าง
อะไรบางอย่างที่ผลักดันเรา ให้เดินทาง
แรงผลักดังกล่าว ส่วนใหญ่มีที่มาจากตัวเราจริงหรือ

แม้ว่าเรา ด้วยอัตตาของเรา เราบอกกับตัวเองว่า
เราเป็นผู้เลือกเส้นทางดังกล่าวด้วยตัวของเราเอง
แต่จริงหรือที่เราเป็นคนกำหนดหมุดหมายนั้นด้วยตัวเราเอง

เราเคยตรวจสอบลึกลงไปถึงรากเหง้าของมันหรือไม่
รากเหง้า ที่ว่าอาจเป็น เจตนาที่ซ่อนอยู่ในใจของเราเอง
เจตนา ที่บางที่เราสำคัญว่ามันเป็นเรา เป็นทั้งหมดแห่งความเป็นเรา

แต่หากลองมองย้อนกลับไปในอดีตอันละเอียดและซับซ้อน
เราอาจพบว่า แท้จริง ความคิด ทัศนคติ ความรู้สึก นิสัย
อาจไม่ได้เป็นของเราโดยแท้จริง

การเดินทางบางที่อาจสำคัญกระมัง
ในหลายเที่ยวเดินทางมีสิ่งต่างๆให้เราต้องสังสรรค์ผ่านประสาทสัมผัสมากมาย
ทั้งสถานที่ ผู้คน ถนน ซอยแคบ กระทั่งอนสาวรีย์ยิ่งใหญ่
แต่สิ่งที่เราอาจสำรวจลงไปให้ลึกขึ้น ลึกกว่าความสุขหรือทุกข์ที่เราได้สัมผัสในแต่ละเที่ยวเดินทาง
สิ่งที่ลึกล้ำนั้น บางที่อาจแอบซ่อนอยู่ในหัวใจของเราเอง

ใครหลายคนอาจกำลังยืนอยู่ใต้แสงไฟข้างถนนยามค่ำคืน
แน่นอนเขาอยู่ในสถานที่ และเวลา ทางกายภาพเดียวกัน
แต่เจตนาซ่อนเร้นที่นำเขาเหล่านั้นมาอยู่อาจต่างกัน

และหลายครั้งที่กรอบแห่งเจตนาอาจทำให้สถานที่ และเวลาหมดความสำคัญลง
เพราะกรอบเหล่านั้น ทำให้เขาทั้งหลาย ไม่เคยแม้แต่จะทักทาย หรือ มองเห็นซึ่งกันและกันแต่อย่างใด

และแม้แต่กรอบอันแคบคับ ที่เรียกชื่อว่า ความรัก
ในบางครั้งอาจเป็นเพียงการเดินชนกันของผู้หลงทางสองคน
ผู้หลงทางบนถนนแห่งความสัมพันธ์
บางทีเขาเหล่านั้น อาจมิได้ดำรงอยู่ในกันและกัน
เขาอาจมิได้เห็นกัน หรือ เข้าใจกัน

บางทีสิ่งที่เรียกว่า ความรัก
อาจเป็นเพียงการเดินทางอันโดดเดี่ยวที่แต่ละคนล้วนเดินไปบนกรอบอันคับแคบ
กรอบที่นำเราไปพบปะกับอารมณ์ความรู้สึกมากมาย
และนั่น บางที่ อาจเป็นห้วงคำนึงที่เป็นดั่งฟองน้ำโป่งพองครอบคลุมจิตใจของเราไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า
แล้วเรายังจะเรียกสิ่งนั้นว่า ความรัก กันอีกหรือ

เจตนามากมาย นำเราเคลื่อนที่ไปบนหนทาง มากมาย
นำเราไปสู่กิจกรรมมากมาย
ในเกือบทุกครั้ง เรายินดีที่จะเดินทางไป
และแม้บางครั้งเราจะหยุดอยู่กับที่ แต่ที่จริงเจตนา
คือผู้บงการให้เราเดินทางไปบนเส้นทางแห่งการหยุดนิ่ง

กายของเรา มันเป็นของเราจริงหรือ
ความคิดที่เราสำคัญมั่นหมาย มันเป็นของเราจริงหรือ
ความรู้สึกต่างๆมันเป็นของเราจริงหรือ
แล้วอะไรเป็นแกนกลางแห่งการดำรงอยู่

เรานั่งฟังเสียงหัวใจของเรา
ฟังด้วยความรู้สึกที่มีอยู่
บางที่เราพบกรอบจำกัดมากมาย
และเช่นกันที่เพื่อนของเราก็มีกรอบจำกัดของเขาเช่นกัน

ทั้งหลาย ทำให้ข้าพเจ้าสงสัยว่า
เมื่อเรากล่าวคำทักทาย เราทักทายกันจริงหรือไม่
เมื่อเราจับมือ เราจับมือกันจริงหรือไม่
เมื่อเรากล่าวถ้อยคำ เราได้พูดกันจริงหรือเปล่า
เมื่อเราบอกรัก เรารักเขาจริงหรือ

สิ่งที่เราครุ่นคิด

บางทีผู้คนบนโลกนี้อาจไม่มีใครเลย
หรือมีแต่เราไม่รู้จัก

บางทีเราอาจเป็นคนหลงทาง
หลงอยู่ในเจตนาอันวกวน

โดยที่เราไม่เคยได้สัมผัสสัมพันธ์กันอย่างแท้จริง

เจตนาที่นำเรามา เริ่ม หลงทางข้างๆกัน
หลงทาง ไปด้วยกัน
และ แยก กันหลงทาง

อย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าเห็น
ในโลกแห่งการหลงทาง
ที่นี่ไม่มีความรัก
จนกว่า เจตนาซ่อนเร้นอันเป็นกรอบอันคับแคบ
จะถูกทุบทิ้ง

ข้าพเจ้าหวังเช่นนั้น กับตัวข้าพเจ้าเช่นกัน

Saturday, November 22, 2008

๐ คือ ๑ และ ๑ คือ ๐


ใบไม้สีเหลืองร่วงโปรยปราย
ในขณะที่อากาศ ณ มิวนิกติดลบ
ริ้วหิมะกับเสียงหวีดลมเต้นระบำกันอยู่ด้านนอก
เรายังนั่งอยู่ในบ้าน

เราเพ่งมองตน ล้วนพบว่าตนล้วนสร้างจากสิ่งที่ไม่ใช่ตน
ความรู้สึกล้วนเกิดก่อจากสิ่งที่ไม่ใช่ความรู้สึก
ความสุขเกิดจากสิ่งที่ไม่ใช่ความสุขมากมาย
ความทุกข์เกิดสิ่งที่ไม่ใช่ความทุกข์มากมาย
บางที ความทุกข์ ก็เกิดจากความสุขก็มี
ความสุขในวันนี้ ก็อาจมาจากความทุกข์ในวันวาน

อะไรบางอย่าง สร้างจากสิ่งที่ไม่ใช่อะไรบางอย่าง

ในกรณีทั่วไป เรามีความทุกข์ให้ลิ้มรสมากมายเหลือเกิน
เพราะเราเข้าใจอะไรผิดไป
เราเกี่ยวเกาะ ยึดกุม แบ่งแยก จนหัวใจเราร้อนเกรียม
เรากำหนดเที่ยวเดินทางแห่งจิตใจ เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า
แล้วเมื่อเราพลาดเที่ยวเดินทางนั้นไป
เรายังคงวนเวียนอยู่วังวนซ้ำแล้วซ้ำอีก
เราจึงมิอาจรุดหน้าไปถึงไหน

เมื่อเราเข้าใจ ว่าแท้จริง สรรพสิ่งล้วนมิได้ว่างเปล่า
แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า แท้จริง คือ ทั้งหมด
แต่หากเพียงเราเอาหัวใจไปเกี่ยวร้อยกับปรากฏการณ์ ณ ขณะใดขณะหนึ่ง
ความเข้าใจผิดมหันต์ ย่อมกระหน่ำซ้ำเติมเราไม่มีวันหมดสิ้น

๐ ในหัวใจ อันไร้กรอบอันคับแคบทำให้เรามองเห็น ๑ คือทั้งหมดอันไพศาล
๑ คือทั้งหมดของปรากฏการณ์ในสากลจักรวาลย่อมมาเยี่ยมเยือนหัวใจแห่ง ๐ ที่กว้างใหญ่เกินจินตนา
.............

ขอให้เธอรักตัวเองให้มาก และจงพิจารณา
ฉันหวังว่าเธอคงพบความสวัสดี ในอนันตกาล
.............

เมฆบ้า