Saturday, February 28, 2009

ผม : ม้ามองโกล และความฝันของเด็ก ม.๓


ผมเคยได้ยินเรื่องม้ามองโกล
มันเป็นม้าที่วิ่งได้หมื่นลี้
มันเป็นม้าของข่านผู้เกรียงไกร
เขาใช้มันในสงครามตีตะลุยมาถึงยุโรป
คุณสมบัติพิเศษ

มันสามารถวิ่งได้จนกระทั่งขาดใจตาย
แล้วล้มลงอย่างสมเกียรติแห่งม้า

วิ่งจนตาย

.......

แม่ผม เรียนจบชั้น ม.สาม
แต่ความแปลก คือ แกอ่านภาษาอังกฤษและแปลได้บ้างบางคำ
มันแปลก สำหรับ คนบ้านทุ่ง

แม่ผมเล่าว่า แม่สอบได้ที่หนึ่งตลอด
แต่ตาให้ออกจากโรงเรียน มาเรียนตัดเสื้อ
และเตรียมออกเรือน
แม่ผมร้องไห้ เพราะอยากเรียนหนังสือ
แต่ก็ขัดตาไม่ได้

วันรุ่งขึ้น แม่ผมไปยืนตรงป่ากล้วยข้างบ้าน
เห็นเพื่อนเดินไปโรงเรียน
แม่บอกว่า แม่ร้องไห้
แม่ชอบเอาหนังสือ ชั้น ม.๑-๓ ที่เรียนไปแล้วมาอ่านซ้ำไปซ้ำมา
ผมเลยไม่แปลกใจว่า แม่ผมเป็นคนคิดเลขเร็วมาก คิดในหัว
ตะก่อนบ้านผมเคยทำอาชีพขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดด้วย
แม่คิดเลขโดยไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลข
แม่อ่านภาษาอังกฤษได้แต่ก็ประมาณความรู้ ม.๓

ความรู้ ม.๓ ของแม่ และความฝันที่ค้างเติ่ง
คือเรื่องของม้ามองโกลตัวหนึ่ง

..........

ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆอยู่ที่บ้านมีความสุขมาก
ครอบครัวใหญ่ๆ ญาติเยอะๆ สนุกดี
ไปเรียน มีรถมารับไปโรงเรียนอนุบาล
กลับมาทำการบ้าน อยู่กับแม่ กินข้าว นอน
เสาร์อาทิตย์ ปีนต้นไม้ ไปตกปลา
เล่นกับเพื่อนข้างบ้าน เล่นอะไรกันแผลงๆ
ปีนต้นไม้ กระโดดลงมา ต้องต้นตะขบนะถึงจะคลาสสิก

วันไหนจะไปตกปลา ผมจะเดินไปกับยาย และพี่สาว ๒ คน ไปในนา
ไปหาปู ปูกะ เป็นปูที่มีน้ำนมไหลออกมาเป็นเหยื่อชั้นดี
เวลาดูรูต้องดูให้ดี
รูปูมีเม็ดดินเล็กๆอยู่ปากรู
แต่รูเลื่อมๆดินเปียกๆอย่างล้วงเข้าไป
เพราะมันคือ รูงู หรือ ไม่ก็ รูปลาไหล
แต่ใครจะเสี่ยง อยากได้ปลาไหลละครับ

ได้เหยื่อแล้วก็ไปตกปลา
ปลาหมอ ปลาช่อน ปลาดุก ปลากรด ปลาแขยง
ปลาตะเพียน ก็มี สนุกอย่าบอกใคร
เวลาหน้าแล้ง น้ำตามหนองแห้งขอด
เราก็เอาสุ่ม ไปสุ่มปลา
เล่นในโคลน จับปลา สนุกเป็นไหนๆ

วันวัย ในวัยเด็กบ้านนอกอย่างผม
ช่างสุขสำราญ สบาย
มีความสุข

ไปโรงเรียน กินข้าว เล่นน้ำ อยู่กับครอบครัว
มองดวงจันทร์ ท้องฟ้า ดาว และ ดาวตก
ท้องทุ่งเขียวขจี น้ำท่าอุดมสมบูรณ์
ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วสำหรับผม

........

ก่อนผมเรียนจบอนุบาลไม่กี่วัน
แม่เล่าให้ฟังว่า แม่ไปคุยกับน้าเขยคนนึง
ซึ่งน้าเขยคนนี้ มีหน้าที่การงานดี
ดีที่สุดสำหรับคนต่างจังหวัด คือ พนักงานธนาคาร

น้าเขย คนนี้ เป็นคนอีกจังหวัด
แม่เล่าว่า น้าเขยคนนี้ เรียนจบจากโรงเรียนที่ดี

โรงเรียนที่ต่อมา คือ โรงเรียนที่ช่วยสานต่อห้วงคำนึงของนักเรียน ม.๓ คนนึงกระมัง

............

และวันที่เด็กน้อยที่มีความสุขอย่างผมได้กลายเป็นม้ามองโกลตัวนึง
ในบรรดาม้ามองโกลนับไม่ถ้วน ก็มาถึง

...........

ผมในวัยหกขวบ ยืนอยู่กลางลานคอนกรีตในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง
มันไกลจากบ้านมากในความรู้สึกของผม
มันไกลมาก
คุณเคยรู้สึก เข่าอ่อนไหม
มันเป็นหัวใจของเด็ก
มันไกลมาก ไกลจากทุกสิ่งทุกอย่าง
เบื้องหลัง คือ ใครก็ไม่รู้ ผมไม่เคยรู้จักคนเหล่านี้
เบื้องหน้า คือ แม่ ที่นั่งอยู่ท้ายรถกระบะ แล้วโบกมือ

เมื่อเบื้องหน้า หายลับ
เหลือแต่ผม และทั้งหมดทั้งมวลที่อยู่เบื้องหลัง

ผมเดินไป ไม่รู้จัก กาย ใจ
เหมือนเดินอยู่ในที่ใด ไม่รู้
ผมไม่ได้ร้องไห้
เพราะผมกลั้นเอาไว้

........

นั่นเป็นก้าวแรก ของม้ามองโกล

ม้าที่อาจเติม ความฝันของเด็ก ม.๓

เด็ก ม.๓ ที่อยากเห็นความฝันของตนโลดแล่นไปอีกครั้ง

และ ผมก็เป็นม้าตัวนั้น

ที่ยังวิ่งล้มบางลุกบ้าง
อยู่กระทั่งปัจจุบัน

....

วิ่งอยู่ข้างๆคุณนั่นแหละ
เหล่าม้ามองโกลทั้งหลาย

Friday, February 27, 2009

ผม : ดวงจันทร์ และผีพุ่งใต้


ผมนั่งเงียบๆอยู่ในห้องพักแถบโอลิมเปีย มิวนิก
กับหนังสือเล่มเดิมๆ หนังสือบางเล่มผมอ่านมันเกินยี่สิบรอบ
โดยในการอ่านแต่ละครั้ง มันเหมือนกับว่าผมได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ
อะไรใหม่ๆที่ว่า คือ ตัวผมเอง

นานมาแล้ว ที่ผมเกิดมาในโลกใบนี้
ผมยังจำความได้ดีในหลายฉากตอนเมื่อครั้งยังเด็ก
มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
ความทรงจำอาจไม่ต่อเนื่องเหมือนภาพยนต์เรื่องหนึ่ง
แต่มันก็พอนึกออกเป็นฉากๆ

ผมเกิดในครอบครัวชาวนา ฐานะค่อนข้างมั่งมี มีที่ดินราวๆสองร้อย
ผมเป็นคนมีสองบ้าน บ้านเหนือ กับบ้านใต้
บ้านเหนือเป็นบ้านที่ตาของผมอาศัยอยู่กับยาย
บ้านใต้เป็นบ้านที่ผมอยู่กับพ่อแม่
ตอนเด็กๆบางวันผมก็อยู่บ้านเหนือ บางวันก็อยู่บ้านใต้

ในทุกๆเย็นตาของผมจะขี่แมงกาไซค์ มาทานข้าวที่บ้านใต้
วันใดที่ผมต้องค้างกับตา สมัยนั้นหนทางยังเป็นลูกรัง มีป่าไผ่รกทึบตลอดทาง
ผมจะกอดตาไว้แน่น เพราะกลัวผี
ระหว่างทางผมชอบมองดวงจันทร์ และยังจำภาพทิวไผ่ยามต้องแสงจันทร์ได้ดี
รถวิ่งไป ผมมองดวงจันทร์ และทิวไผ่ สวยงาม แต่ก็อดฉงนมิได้ว่า ทำไมดวงจันทร์ต้องวิ่งตามผมไปด้วย
และเมื่อมาถึงบ้านตา ผมแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์
และก็พบว่าดวงจันทร์ก็มองมายังผมเช่นกัน
เมื่อเราวิ่ง ดวงจันทร์ก็ตามเรา
เมื่อเราหยุดดวงจันทร์ก็หยุดมองเรา
นั่นคือการค้นพบแรกๆในชีวิตของผม
ดวงจันทร์ ทิวไผ่ แมงกาไซก์ของตา บ้านเหนือ
ผมรู้สึกว่า ทุกอย่างช่างกว้างใหญ่
และผมไม่รู้อะไรมากนัก
จึงได้แต่เดินตามตาขึ้นบ้านและเข้านอน
.........

บ้านใต้ ข้างๆติดกับวัด
ฝั่งตรงข้ามถนนเป็นโรงเรียน
ผมเคยเรียนที่โรงเรียนแห่งนั้น
เป็นโรงเรียนบ้านนอกเล็กๆ
จำได้ว่าไปเรียนแค่วันเดียว
ก็วิ่งร้องไห้กลับบ้าน
แม่ผมกลัวจะโดยรถชนตาย
เลยส่งไปเรียนอีกโรงเรียนที่มีรถมารับส่ง
โรงเรียนนี้อยู่ไกลจากบ้านผมไปเกือบสิบกิโล

ด้วยความที่บ้านผมอยู่ไกลที่สุด
รถโรงเรียนจึงมารับผมเป็นคนแรก
ด้วยเหตุนี้ แม่ผมจะต้องปลุกผมแต่เช้าประมาณตีสี่
เมื่อปลุกผมขึ้นมาได้ แม่ก็จะไปหุงข้าว
มีอยู่ครั้ง จำได้ว่า เป็นช่วงกำลังสร้างบ้านใหม่
ทั้งครอบครัวก็เลยไปปลูกเพิงพักอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก
ผมตื่นขึ้น เดินเกาะชายผ้านุ่งแม้ที่กำลังเดินไปหุงข้าว
ระหว่างที่แม่กำลังติดเตาถ่าน
ผมแหงนขึ้นไปบนท้องฟ้า
เห็นลูกไฟสีขาวดวงมหึมาตกลงมาจากท้องฟ้า
ผมตะลึง
และถามแม่ว่า มันคือะไร

แม่ผม ตอบว่า ผีพุ่งใต้

พอได้ยินคำว่า ผี ผมก็กลัวจนตัวสั่น วิ่งเข้าไปกอดแม่

ดาวตก ดวงนั้น ยังอยู่ในความทรงจำของผม
มันใหญ่ และก็สว่างมาก

ในห้วงคำนึง ที่ผมพอนึกออก

ผมรู้สึกว่า ทำไมโลกนี้มีปรากฏการณ์อะไรแปลกๆมากมายจัง

ดวงจันทร์ที่วิ่งตามผม ผีพุ่งใต้

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็ยังรู้สึกปลอดภัย

เพราะขณะที่ดวงจันทร์วิ่งตามผม ผมก็กอดตาไว้แน่น

และขณะที่ดาวตกสว่างบนท้องฟ้า ผมก็กอดแม่ไว้แน่นเช่นกัน

โลกนี้มีอะไรให้เราดูมากมาย สำหรับเด็กคนนั้น

และเมื่อเด็กคนนั้นกลัว ก็ยังมีตา และแม่คอยอยู่ข้างๆ

ผมไม่รู้หรอกว่า ชีวิต คือ อะไร

ผมแค่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

และมองมันด้วยความรู้สึกแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา

มันเป็นห้วงแห่งความทรงจำเล็กๆ

ซึ่งถ้ามีเวลาผมจะเล่าเรื่องอื่นให้ฟังอีก

Saturday, February 21, 2009

เขียนจากจุดลึกๆ


เมื่อผมนั่งในจุดที่ลึกที่สุดเท่าที่ผมเดินทางไปถึง
ก่อนหน้า ผมมีข้อมูลหลายอย่างวนเวียนอยู่ในหัว
เห็นเป็นความรู้สึก หรือ การก่อร่างของความคิด
แล่นอยู่ภายในหนังศรีษะ
มันเป็นคลื่นๆ

และเมื่อก้าวเลยจุดนั้น
เมื่อผมตัดสินใจจะเขียนอะไร
ภาพความคิดเหล่านั้น ก็หายไป
และผมรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะเขียนมันออกมา

ผมเลยหยุดเขียน
และเลือกนั่งอยู่ในจุดลึกที่สุดที่ผมเดินทางไปถึง
จุดที่มีอะไรพลุ่งพล่านขึ้นมาเป็นระยะ
แต่ผมไม่สนใจมัน
..........

เท่าที่ผมสนใจ
ก็เท่าที่ผมเขียนข้างบน
บางวันที่ผมถอยห่างจากจุดที่ลึกที่สุด

ผมอาจเขียนอะไร
ตามแต่ข้อมูลในกบาลผม
จะบงการ

Sunday, February 15, 2009

Waehrend+ Time


ในระหว่างนั้น ในระหว่างที่จังหวะหัวใจเปลี่ยนทำนอง
มันเกิดขึ้นในตอนนั้น มีพลังอะไรบางอย่างส่งกระแส และมันก็เข้ามา
มันเกิดคลื่นไหวระริกอยู่ภายใน ใหญ่ขึ้น จนครอบคลุมไปหมดทั้งโลก
และฉันก็เคลื่อนเข้าไปสู่ภาวะของมัน

ฉันไม่ได้ร้องเรียก แต่เมื่อมันเกิดขึ้น
มันพาฉัน ตก ตกลงไป ในสายตาเธอ
คลื่นระริกไหววิ่งเต้นระริกรัวในระยะระหว่างตาของฉันและเธอ
มันส่งกระแสคลื่นลงสู่ใจกลาง ของดวงใจ
หากเป็นประเทศ
ณ บัดนี้ ฉันได้สูญเสียเอกราชและเสรีภาพไปเรียบร้อยแล้ว
ด้วยเธอ ด้วยคลื่นไหวระริก อันครอบคลุมรอบหัวใจ
ด้วยเลือดที่สูบฉีด ด้วยภาวะทั้งหมดที่ฉันมี

ระหว่างนั้น ฉันได้เข้าสู่มัน อย่างเต็มภาคภูมิ
Waehrend ich zu dir total gefallen bin,sagt
man,ich verliebte mich in dich.
..........

เวลา ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก
เพราะที่จริงมันมีอยู่อย่างเหลือเฟือ

แต่เหตุการณ์ในเวลาต่างๆต่างหากที่สร้างฉากองค์ของชีวิต
ไม่มีที่สิ้นสุด ฉากแล้ว ฉากเล่า

ม่านสีแดง เคลื่อนตัวออก ครั้งแล้ว ครั้งเล่า
เธอเดินเข้ามา บนเวทีแห่งนั้น

ฉัน ดวงตา ใจ และการสอดประสานของสิ่งทั้งหมด
ฉันเคยคิดก่อนซื้อตั๋ว ในบางคราว some time
ฉันขอเป็นแค่คนดูก็พอ

แต่แล้วในเวลา ที่สอดแทรกด้วยเหตุการณ์

และเมื่อฉันก้มมองที่เท้าตนเอง

ฉันกลับพบว่า เบื้องล่าง มันเป็นพื้นเวที

ฉันขึ้นมายืนอยู่บนเวที แห่งนี้ได้อย่างไร

มันไม่ใช่เรื่องสั้น หักมุม แบบรสกาแฟเลวๆที่หลายคนพยายามเขียน

แต่มัน คือ ภวังค์

เวลายังดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่มีใครอาจต้าน

แต่ภวังค์ ก็เป็นดั่งฝนฟองสบู่ที่โปรยปรายลงมาครอบคลุมชีวิตฉันทั้งหมด

ณ บัด Now นั้น

ใครอย่าได้บังอาจมาปิดม่าน

...........

ในระหว่างนั้น ในระหว่างเวลา
ในขณะที่คลื่นระริกไหว

ในขณะที่หัวใจเดินเข้าสู่รัก

ระหว่างนั้น

เวลาได้หมดความหมาย

และทุกอย่างก็หลอมละลาย

ไปในอมตภาพ

นิจนิรันดร
...........

ความรักเมื่อสำแดง
ย่อมยิ่งใหญ่กว่าถ้อยคำ
จะหยิบจับ
มามัดผูก
.........

ข้าพเจ้า ขอทำสิ่งโง่ๆนี้
ก็เมื่อรัก

ก็ช่างมันปะไร

.......

< Waehrend = ระหว่าง >

Tuesday, February 10, 2009

พระอาจารย์


ไม่มีอะไรทำ เอารูปพระอาจารย์องค์ล่าสุดของผมมาให้ดู
ปกติ ผมชอบอ่านหนังสือธรรมะมากๆ โดยเฉพาะของท่านพุทธทาส
ท่านติช นัท ฮัน ท่านเชอเกรียม ตรุงประ ท่านโอโช ท่านเจ้าคุณธรรมปิฎก
ที่ชอบอ่านไม่ได้เอาไว้ทำอะไรหรอกครับ
ธรรมะสำหรับผมเป็นยาสามัญประจำบ้าน
เอาไว้ทาถูหัวใจรักษาความบ้าประจำตัวที่มีมาแต่กำเนิด

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช แห่งวัดสวนสันติธรรม
อำเภอศรีราชา ชลบุรี
ท่านนี้เป็นพระสายปฏิบัติที่มาแรงที่สุดใน พ.ศ.นี้
ท่านเรียนจบจากรัฐศาสตร์จุฬา
ฝึกสมาธิมาตั้งแต่เด็ก ราวๆ ๗ ขวบ
เป็นลูกศิษย์สายตรง หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่ฟั่น
เรียกว่าท่านเป็นศิษย์รุ่นสุดท้ายของหลวงปู่ดูลย์เลยก็ว่าได้

พระอาจารย์ท่าน เป็นเจ้าของสำนวน ดูจิต ในหมู่นักปฏิบัติรู้จักกันดี

ศิษย์คนสำคัญของท่าน คือ นักเขียนที่มียอดขายมากที่สุดคนหนึ่ง

ดังตฤณ

หากท่านสนใจ เชิญฟังธรรมะ ที่ถ่ายทอดจากจิต ฟังง่ายได้ผล
ที่ www.wimutti.net
ข่าวดี วันที่ ๓ มีนาคม
พระอาจารย์ไปสอนดูจิต ที่ธรรมศาสตร์

ใครอยู่เมืองไทย และเป็นปัญญาชนสยามแท้ๆห้ามพลาด
ของจริง ไม่พูดมาก แต่ของดี ต้องPromote

............

ขอให้ทุกท่านพบหนทาง

Friday, February 06, 2009

รูป นาม


รูปเกิดจากสิ่งไม่ใช่รูป จึงมีรูป เมื่อเห็นรูป รูปก็สลาย จึงมีรูป และไร้รูป
เวทนาเกิดจากสิ่งไม่ใชเวทนา เมื่อเห็นเวทนา เวทนาก็สลาย จึงมีเวทนา และไร้เวทนา
สัญญาเกิดจากสิ่งไม่ใช่สัญญา เมื่อเห็นสัญญา สัญญาก็สลาย จึงมีสัญญา และไร้สัญญา
สังขารเกิดจากสิ่งไม่ใช่สังขาร เมื่อเห็นสังขาร สังขารก็สลาย จึงมีสังขาร และไร้สังขาร
วิญญาณเกิดจากสิ่งที่ไม่ใช่วิญญาณ เมื่อเห็นวิญญาณ วิญญาณก็สลาย จึงมีวิญญาณ และไร้วิญาณ

รูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา

หัวใจโบยบินเข้าเกาะกุม อารมณ์ กลายเป็นตัณหา ผลักดันเข้าสนามอุปาทาน

นั้น คือ ความเป็นทาสที่ข้าพเจ้าเห็น ในตัวข้าพเจ้าเอง

............

เมฆบ้า