
ปี ๒๕๔๙ เป็นปีที่ผมจะไม่มีวันลืม เพราะปีนี้ที่ใกล้จะล่วงเลย เป็นปีที่ผมได้ผ่านสงครามอันยิ่งใหญ่ คือ สงครามกับตัวตนของตนเอง
สงครามภายในจิตใจ คือ สงครามชนิดที่สำคัญที่สุด และวิสัยแห่งสงครามย่อมมีชนะบ้าง แพ้บ้าง เป็นธรรมดา ผลชี้ขาดของสงครามนั้น มีปัจจยตาแวดล้อมหลายประการ ทั้งความอดทน ความเข้มแข็ง จังหวะ เวลา โอกาส ฟ้า ดิน กระทั่งกรรมเก่าที่ได้ทำเอาไว้
พูดถึงความพ่ายแพ้ ปีนี้เป็นปีที่ผมพบกับความพ่ายแพ้ต่อตัวเองอย่างมากมายมหาศาล
ทั้งความพ่ายแพ้ต่อโทสะ ที่ต้อนรับผมตั้งแต่ต้นปี
ความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจให้อภัยกับระบอบทักษิณผู้โหดร้ายกับประชาชน จนต้องออกไปด่าทอ บริภาษ
ความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจรักษาสติบางส่วนได้เมื่อเผชิญสมรภูมิการต่อสู้ทางการเมือง
ความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจอดรนทนต่อความเห็นที่แตกต่างในสถานการณ์บ้านเมืองที่เลวร้าย
ความพ่ายแพ้และอ่อนแอเกินไปกับความรักที่กลับมาทวงถามอีกครั้ง
ความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจทำหน้าที่ของคนรัก ที่ผมไม่อาจหันแก้มซ้ายให้ตบได้ (ข้อนี้ผมคงต้องเรียนรู้จาก จีซัส มหาบุรุษแห่งความรัก)
สำหรับชัยชนะ หรือสิ่งที่เรียกว่าชัยชนะ ก็มีไม่น้อย
ผมดีใจที่ได้ทำหน้าที่ของคนรักอย่างสุดกำลังความสามารถที่ผมทำได้ ในสถานการณ์ที่ผมหมดแรงกับมัน
ผมดีใจที่ผมได้ทำหน้าที่ปกป้อง ประเทศชาติ อย่างสุดความสามารถ แม้ว่าประเทศชาติของเรากำลังจะล่มสลายในกำมือของ คมช. ผู้มืดบอดก็ตาม
ผมดีใจที่ผมสามารถเอาชนะจิตใจของตัวเองได้บางส่วนจนสามารถทำใจให้สงบได้ในระดับนึง
สำหรับชื่อเสียง ชื่อเสีย ทางสังคม
สำหรับสมัชชาแห่งชาติ สภายุง
สำหรับทุนการศึกษาไปเรียนนอก บางระมัน
ผมมองว่ามันเป็นเพียงฝุ่นผง เอาไว้เป่าเล่น
กล่าวโดยภาพรวมผมพอใจกับตัวเองบางเรื่อง และไม่พอใจตัวเองบางเรื่อง
แต่นั่นก็อีก ความพอใจ หรือ ไม่พอใจล้วนเป็นมายาการทั้งสิ้น
ปีนี้ ใกล้หมดเวลาของมัน ตามหมุดเข็มที่มนุษย์กำหนด
ผมเคยเฝ้ารอหมุดเข็มบางประการที่ใครบางคนปักทำเครื่องหมายเอาไว้ แต่ยิ่งใกล้ปีใหม่ การนับถอยหลังของผมเพื่อเฉลิมฉลองความสุขก็ยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
บางที่โลกนี้ก็แปลก ธรรมชาตินี้ซิยิ่งแปลก หรือว่า พระเจ้าและธรรมชาติเหงามาก จึงสร้างมนุษย์ให้เป็นหุ่นไขลานไว้ดูเล่น ลานของมนุษย์แท้จริง คือ กรรม ที่ กำ จิตใจเราอยู่นั่นเอง
ผมจะเดินต่อไปบนจุดหมายที่มาถึงอยู่ตลอดเวลา ไม่ดิ้นรน ค้นหา เฝ้ารอ สิ่งใด จนกว่า กรรม ที่ธรรมชาติแอบไขลานให้ผมมานับหมื่น นับแสนปี จะหยุดแรงลง
........................................................
วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมไปสอนหนังสือนักศึกษาที่น่ารัก ณ จังหวัด หนองคาย สอนเลิกประมาณบ่ายสอง ก็ตีรถจากหนองคายมาที่อุดร แวะทานกาแฟกับลูกศิษย์ อันประกอบด้วย มะเดี่ยว มะนุช มะวิว และมะสันต์ จากนั้นขึ้นรถจากอุดร ไปนครพนม อีกประมาณห้าชั่วโมง เพื่อไปร่วมงานหมั้นของเพื่อน งานหมั้นแบบประเพณีผสม ระหว่าง ไทย ญวน จีน เจ้าสาวเป็นคนเชื้อสายเวียดนามคาดว่าคงอพยพมาพร้อมลุงโฮ งานหมั้นนี่ก็สนุกดี
ผมรับหน้าที่ถ่ายรูปให้กับ ว่าที่เจ้าสาวและเจ้าบ่าว ผมพยายามอย่างที่สุดที่จะทำหน้าที่ตากล้อง การถ่ายรูปให้ดีต้องใส่ความรู้สึกลงไปด้วย และผมก็ทำมันได้ในระดับที่สุดความสามารถ
งานหมั้นของเพื่อนกระผม คงทดแทนสิ่งที่ผมเคยเฝ้ารอได้กระมัง ไม่รู้สิ ปล่อยไปตามเวรกรรม
ขากลับ ยามดึก ระหว่างทางโดยสาร ผมปรับเบาะรถ แล้วแหงนหน้าขึ้นมองเวิ้งฟ้า เหนือภูพาน
ดาวเด่น นับแสนยังทอแสงระยิบระยับ ผมคิดคำนึงในจิตใจว่า เมื่อหมื่นปีที่แล้ว ขณะที่มนุษย์ยังไม่มีภาษาไว้เรียกขาน คงมีหนุ่มสาวคู่ใดคู่หนึ่ง นอนดูดวงดาวนับแสนอยู่ด้วยกัน
เขาอาจรักกัน รักกันโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นเรียกว่า ความรัก
เขาอาจให้กัน โดยไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่านั้น คือการให้
เขาทั้งคู่อาจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน โดยไม่รู้ว่านั้น คือ การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
และเมื่อถึงเวลาใครบางคนอาจตายจากไปก่อน และปล่อยให้ใครอีกคนร้องไห้ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ความตายได้พัดพรากคนที่เขารักไปเสียแล้ว
เขาคนนั้นอาจรู้แต่เพียงว่า มีของเหลวไหลออกจากดวงตา โดยที่เขาไม่ต้องฝืนต้านหรือข่มใจ
ธรรมชาติและพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ ว่าใครจะอยู่ที่ไหนเมื่อไร
มนุษย์ตัวน้อยเช่น เขา และ ผม หรือใคร ก็ไม่อาจฝืนต้าน
ไม่ว่าจะใน พ.ศ.ใดก็ตาม
.....................................................
รถโดยสารแวะพักที่โคราช ตอนเที่ยงคืน
ผมเดินงัวเงียลงมาจากรถ สมองมึนๆงงๆ
ขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะ สหายเก่าเอ่ยขึ้นว่า ปีนี้ช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน
นั่นสิ ผมก็รู้สึกเช่นนั้น รู้สึกว่าปีที่ผ่านมาผมเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น
บางทีความอ่อนแอภายใน กับภาวการณ์ภายนอกอาจชักพาผมไปสู่จุดใดจุดหนึ่งในห้วงทะเลแห่งจิตวิญญาณ
ผมรู้สึกว่า สุขภาพของย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น สูบบุหรี่มากขึ้นกว่าเดิมมาก ผู้คนใกล้ชิดล้วนหลบลี้หนีหน้า
รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ความเศร้าบางประการแล่นลึกอยู่ในจิตวิญญาณ
ผมคงต้องเฝ้าดูมันต่อไป ต่อไป และต่อไป
และขอให้ผลบุญที่ผมทำในปีนี้ ช่วยเป็นแรงขับดันให้บรรลุมรรคผลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
..................
ฝากคำทิ้งท้าย จากกวีศรีชาวนา
จิต ดุจนาไร่
ประสบการณ์ ดุจ คันไถพรวนดิน
ความทุกข์ ดุจเมล็ดพันธ์พืช
ปัญญา ดุจต้นกล้า
มรรคผล ดุจ รวงข้าวสีทองผ่องอำไพ
................
สุขสันต์วันปีใหม่
บุญรักษา ชีวาสดชื่น
เมฆบ้ามหาศาล