Friday, July 28, 2006

ความลวงอันหลากหลาย


ความลวงอันหลากหลาย

เกริ่น
ผมเริ่มมีเวลาว่างมากขึ้น หน้าที่ลดลงตามแรงกดทางการเมือง ที่จริงผมไม่ได้สำคัญมั่นหมายในตัวตนว่าสลักสำคัญอะไร เพราะผมรู้สึกว่าผมเป็นเพียงมนุษย์คนนึงที่หายใจอยู่บนโลกนี้เท่านั้น เป็นมนุษย์ร่างกายสกปรกที่รู้ว่าภาระหน้าที่ในความเป็นมนุษย์คืออะไร และไม่มีอะไรมากไปกว่าแค่เดินไปทำมัน ก็เท่านั้น

แต่สิ่งที่ดูขัดลูกหู ลูกตา บาดอก บาดใจใคร หลายคน ก็เพียงเพราะผมเป็นคนประหลาด คือ เมื่อลงมือทำสิ่งใดแล้ว มั่นใจว่าทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น โดยผ่านการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องยาวนาน ผมจะไม่ลังเลที่จะทำ และไม่เสียใจกับสิ่งใดที่ทำลงไป แม้ว่าจะมีเสียงด่าทอตามมาพร้อมกับช่อดอกไม้ประปรายก็ตาม นั่นแหละสิ่งที่ผมมักจะทำ เพราะมัน คือ มรรคาแห่งการฝึกฝนตนเอง เพื่อการสัมผัส ซึ่ง “ความจริง” อันสันติ พิสุทธิ์ ซึ่งไม่อาจประนีประนอมต่อเปลือกป้ายความคิดใดๆ
........................................................................
Post-Modern ของเล่นชิ้นใหม่ของปัญญาชน
ผมพบตัวเองกำลังนั่งอ่านหนังสือที่ปัญญาชนสัญชาติไทย ตื่นเต้น ตูมตาม นาม แนวคิดหลังสมัยใหม่ Post-Modern อ่านแล้วรู้สึกวิงเวียนกับศัพท์แสงนานัปการ เช่น การรื้อสร้าง Deconstruction ตะลึงพึงเพริดกับแนวความคิดต่างๆ จากปรัชญาเมธีทั้งหลาย อาทิ ฟูโกร์ โบร์ดิย่า แดริด้า พอจะจับสาระอะไรบางอย่างได้ ก็ให้นึกถึงบทสนทนา ณ ร้าน แฮมลอก สำนักบล็อก บล็อก ที่ในคืนนึงท่านราชันย์ถามว่า “ กฎหมายมี Post-Modern ไหม” ผมได้แต่ตอบไปว่า คงมีมั้ง อย่างเช่น กรณีกระบวนการยุติธรรมนอกศาล ที่ไม่อิงกับระบบยุติธรรมกระแสหลัก ฟังดูเหมือนผมจะตอบแบบเอาตัวรอด เพื่อไม่ให้ตัวเองดูโง่มั้ง แต่อันที่จริงแล้ว ผมไม่มีความศรัทธาสมาทานต่อ Post-Modern ต่างหาก และก็ไม่เห็นคุณค่าในทางปรัชญาของ Post-Modern

เหตุอันใดไหนเลยผมจึงไม่สนใจไยดีกับ PM

ประการแรก ผมเบื่อหน่ายกับปัญญาชนพ่นทฤษฎีฝรั่ง

ประการที่สอง PM คือ การคุ้ยขยะทางความคิดเน่าๆ ในนามการรื้อสร้าง สร้างอะไรรึ สร้างขยะในสถาปัตยกรรมความคิดแบบใหม่ไง เหม็นอยู่ดี ซากเน่าเหล่านี้ ทับถมมาตั้งแต่ ยุคกรีก โดยเฉพาะนายตัวดี อริสโตเติล ยุคโรมัน ยุคกลาง อย่างสำนัก สโกลัสติก จอห์น คาลวิน ยุคทันสมัย อย่าง นิวตัน ดาร์วิน เสปนเซอร์ มาร์ก ฟรอยด์ ไอน์สไตน์ เคนส์ แซมมวลสัน ฟรีดแมน ซากเน่าทั้งนั้น

ประการที่สาม สาระของ PM ที่ยอมรับความแตกต่างหลากหลายในลักษณะ Pluralism คือ ความงงงัน กับซากเน่าทางปัญญาที่ผิดพลาด ซ้ำแล้ว ซ้ำอีกของฝรั่ง เลยไม่รู้จะอย่างไร เพียงแต่ชี้ๆว่า มันมีหลากหลาย จนมีการหลงคิดว่า นั่น คือ ความจริง ที่หลากหลาย

ประการที่สี ผมเบื่อหน่ายกับบรรยากาศวิชาการ ตามรูก้นฝรั่งเต็มทน บางความคิดของฝรั่งอาจจะมีดีอยู่บ้าง แต่ของดีกว่าของเรามี มีมานานไม่รู้จักไปศึกษา อย่างนี้แหละที่เรียกว่า ไร้ราก

ด้วยเหตุนี้ ในกระแสธารความคิดฝรั่ง ที่อิงแอบความคิดอยู่ที่ จิต ที่แปดเปื้อนด้วย อุปาทาน Post-Modern ในสายตาผมจึงเป็น ของเล่นชิ้นใหม่ของปัญญาชน ที่กำลัง In Trend ว้าว

หลังสมัยใหม่ ความลวงอย่างรอบด้าน
แนวคิดของ PM แท้จริง เกิดขึ้นท่ามกลางความสับสนทางความคิดของปัญญาชนตะวันตก ที่ตกตะลึง กับความล้มเหลว ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ทั้ง การล้มสลายของโรมัน การล้มสลายของศาสนจักรที่ปริเยศชอบพูดถึง ความต่ำทรามของทุนนิยม ความล่มสลายของคอมมิวนิสต์ กระทั่งความล่มสลายของระบบนิเวศ จึง งง งง ว่าตกลงอะไรมันถูก อะไรมันผิด อะไรมันดี อะไรมันชั่ว ความจริง คืออะไร งงไป งงมา ก็ชี้เปรี้ยงออกมาว่า ความหลากหลาย แต่ผมมองว่ามันคือ ความหลากหลายของซากเน่า ทางความคิดซะมากกว่า

ดังนั้น PM จึงเป็นความพยายามในการ รื้อกองขยะ ซากเน่า ทั้งหลาย แล้วก็พยายามประกอบซากเน่านั้นใหม่ แต่ขยะ ก็ คือขยะ อย่างไรมันก็เหม็น ด้วยเหตุนี้คนที่สมาทานเอา PM เป็นสังขาร จึงมีหน้าที่ วิเจาะ วิจารณ์ ไปเรื่อยๆแบบหาสาระแก่นสารไม่ได้ PM จึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับ พลั้วคุ้ยขยะหรือรถขนขยะ

ขยะ ขยะ ขยะ
ขยะที่ว่า คือ ความลวง PM จึงกลายเป็นเพียง แนวความคิด ความหลากหลายของความลวงอย่างรอบด้าน

ทำไปทำมา เวลาฟังแนวคิดของ PM ทำให้ผมนึกถึง แรงเหวี่ยงกลับของ Momentum ทางความคิด ที่ตะวันตก กำลังหาทางออกไม่เจอ จนกลับไปสู่ยุคปรัชญาแบบ Sophist ที่กล่าวในภาษา ละตินว่า Homo Mensura ( A man is a measure of thing) ซึ่งก่อให้เกิดแรงดีดกลับเป็นปรัชญาสำนัก แบบทั้งหลาย ในยุคกรีก อันมีโสคราตีสเป็นหัวขบวน

นี่แหละครับ การเหวี่ยงไปมาในช่องความคิดที่มาร์ก เรียกว่า วิภาษวิธี

นี่แหละครับ การหลงวนอยู่ในความลวงอันแสนทุกข์ทน ซึ่งพระพุทธองค์กล่าวไว้ว่ามันคือ ทวิลักษณ์ เจ้าแห่งมายา ในปารามิตาสูตร พระสูตรบันลือโลกที่ผมประทับใจเป็นนักหนา
................................................
แล้วความจริง คือ อะไร ความจริงมีหนึ่งเดียวใช่หรือไม่
ถ้ามีเวลา ผมจะเล่าให้ฟัง

ไม่รู้มีใครได้ยินรึเปล่า ฮา ฮา
.................................................
บุญรักษา ชีวาสดชื่น

Tuesday, July 25, 2006

แก็ง กวน ตาราง


แก็ง กวน ตาราง

ในที่สุด ในที่สุด กกต.ก็เข้าคุก ฮา ฮา แม้ว่าจะมีสิทธิอุทธรณ์อีกก็ตาม

.......................

ย้อนหลังกลับไป เดือนเมษา ผมได้ทำหน้าที่ ที่ปรึกษากฎหมายศูนย์จับตาการเลือกตั้ง กับ อ.คมสันต์ โพธิ์คง (มสธ.) โดยผมเสนอประเด็นฟ้อง เรื่องมาตรา 104 รัฐธรรมนูญ เรื่องการเลือกตั้งโดยลับ และ อ.คมสันต์ นำเสนอประเด็น มาตรา 24 และ 42 สรุปเข้าเป้าทั้งสองคน

104 ศาลรัฐธรรมนูญฟันไปแล้ว โดยคำร้องของ อ.บรรเจิด

24 และ 42 ศาลอาญา ลงเรียบร้อย โดยคำฟ้องของถาวร เสนเนียม

ย้อนหลังกลับไปปลายเดือนมีนา ผมไปปราศรัยด่า กกต.ให้ออก ประมาณ สิบหน ด้วยร่วมกับ พันธมิตร และ สค.ปท. ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรอีสานที่เดินทางมาไล่ กกต.โดยเฉพาะ ตอนนั้น เหนื่อยมาก ถูกตำรวจตามตลอด สันติบาลชวนไปนั่งคุย เวลาอยู่ต้องคอยดูว่าตำรวจสับเปลี่ยนกำลังพลเตรียมสลายการชุมนุมหรือเปล่า โดนขวดปาขึ้นมาบนเวที โดยแท็กซี่บีบแตรใส่ บางที่ฝนก็ตก บางคืนหาโรงแรมแถวนั้นนอนก็มี

จำได้ดี คำพูดที่ผมพูดที่หน้า กกต.

"ถ้าท่านไม่ออก ก็ขอเชิญไปนอนในคุก "

กกต. จึงเปลี่ยนสภาพจาก แก็ง กวน ตีน ( อ.สมเกียรติ พงศไพบูลย์) เป็น แก็ง กวน ตารางไปซะแล้ว

........................

ไม่ได้โม้นะ เพราะทำจริง ทำแล้ว และดีใจ ดีใจ ที่การต่อสู้เห็นผล

คุ้ม กับการเสี่ยง และพอชดเชยกับสิ่งสูญเสีย

ขอให้ กกต.มีความสุข ตามกฎแห่งกรรม

.......................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

เมฆบ้า

Friday, July 21, 2006

ก่อนการอุบัติ



ก่อนการอุบัติ

ระบายฟ้าทาดาวดวงโชติช่วงฉาย
คลี่ผืนทรายเคียงทะเลคลื่นเห่กล่อม
ปลูกพันธ์พืชคลอดสรรพสัตว์สำเนียงก้อง
สร้างรอยร่องการเกิดต่อข้อชีวิต

ลอยมวลเมฆคล้อยเคลื่อนเกลื่อนท้องฟ้า
สร้างสายลมพัดแรงพามาสถิต
และแล้วสัตว์มนุษย์ก็อุบัติซึ่งชีวิต
มีเนื้อหนังตามติดสายรกพัน

สร้างสมองสองมือถือดวงจิต
สร้างความคิดรูปสัญญาสังขารขันธ์
นับแต่นั้นเรื่องก็ราวสารพัน
เกิดแย่งชิงเกิดฆ่าฟันเกิดปันปรน

เกิดสังคมโสมมระบมระบาด
เกิดอาฆาตมาดร้ายหมายฉ้อฉล
เกิดได้เสียตามกำลังอำนาจตน
เกิดการปล้นทั่วสกลด้วยปืนไฟ

เพราะเหตุแห่งโสมมสังคมมนุษย์
จึงเกิดกฎในที่สุดใช่หรือไม่
มาเรียงร้อยเป็นมาตราว่าเรื่อยไป
แล้วเปิดเป็นมหา’ลัยให้เล่าเรียน

ทั้งหมดคือเหตุก่อนการอุบัติ
คือความสัจ คือความจริง ไร้สุ่มเสียง
คือถ่วงถ้อยยุติธรรมสำเนียง
หากเอนเอียง กฎหมายก็เพียง แค่ความลวง
..................................
เมฆบ้า ๒๕๔๙

Wednesday, July 19, 2006

รับสมัคร กระฎุมพี่หอคอย


รับสมคัร กระฎุมพีหอคอย

ข่าวด่วน ชาวนาที่ บางระจัน กำลังเปิดรับสมัครกระฎุมพี หอคอย เอาไปทำนาที่บ้านผม เพราะชาวนาหลังจะหักอยู่แล้ว

คุณสมบัติ
ฉลาด การศึกษาดี มีอุดมการณ์อะไรก็ได้ที่ดูเท่ห์ๆ ถ้าจบ ดร.หรือกำลังเรียนอยู่จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ (ไม่จำกัดสาขา)

ภูมิลำเนา
ต้องมาจากหอคอยในสถาปัตยกรรมแบบ Marx , Capital ,Modern and Post-Modern หรืออะไรก็ได้ที่ดูหรูๆไม่ว่าจะเกิดในตระกูลผู้มีชื่อเสียง หรือจีนกบฎ ถ้าเป็น ซ้ายซากเน่า จะพิจารณาสบู่ไว้ถูขัด ฮา ฮา

เครื่องแต่งกาย
เชิงอรรถ (ตีนกระดาษ) เอาไว้กันแดดร้อนๆ
ตำราหรู เอาไว้ขุดดิน
ภาษาฝาหรั่ง เอาไว้วิดน้ำ

งานอดิเรก
วิพากษ์ทุกอย่างที่ขวางหน้าโดยไม่ดูสถานการณ์ เอาไว้ไล่นกไล่กา ฮา ฮา
ถ้าวิพากษ์เป็นภาษาอังกฤษจะดี จะได้เอาไว้ไล่นกที่อพยพมาจากขั้วโลก

..................

เงินเดือน ไม่มี

สวัสดิการ หนี้ ธกส.หนี้กองทุนหมู่บ้าน จ่ายค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ให้ด้วยจะขอบคุณ

ความก้าวหน้า แล้วแต่ราคาข้าว

..................

ติดต่อด่วน ที่ไอ้ทุยใต้ต้นตะขบ

ระวัง นกกะปูด อึรดนะ

แล้วจะหาว่า ชาวนา ไม่เตือน

....................

ลืมบอก ไม่มีห้องแอร์ มีแต่มุ้ง ยุงเยอะ ร้อน คัน ชะมัด

ไม่ต้องเอาไวน์ไปกระดก เพราะมี วอดก้าโรง ( เหล้าขาว) ให้กระเดือก

กลับแกล้ม ปีนต้นมะยม มาจิ้มกะปิเอาเอง

.....................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

Wednesday, July 12, 2006

นายท่าน มันส์พะยะค่ะ


นายท่าน มันส์พะยะค่ะ

ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ อาจารย์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ที่
http://www.onopen.com/2006/editor-spaces/692
แล้ว บอกได้คำเดียวว่า นายท่าน มันส์พะยะค่ะ

ว่าแล้ว ขอ ระนาดหน่อย
สองมือน้อย ขอกราบกลางหว่างดวงใจมิตรรักแฟนลิเกทุกท่าน (มีเสียงโห่ ปาฝักข้าวโพดแทะแล้ว ฮา ฮา)

สวัสดีครับพี่น้อง (ร้องแบบลิเก)
มาฟังผมร้องกันสักนิสสส
ได้ยินเสียงกันวันละติ้ด ติ้ด
เพื่อว่าชีวิตจะชุ่มชื่น

ผมเป็นชาวนาบ้านนอก
ปัญญากระจอกกระจิบ
ปริญญาก็ห่างกันลับลิบ
ไม่อาจจะหยิบมาอวดอ้าง

ผมเรียนหนังสือมาน้อย
ความรู้เท่าก้อยหางอึ่ง
กิริยาก็ทะเล้นทะลึ่ง
แต่ก็พอรู้ซึ้งเรื่องนาไร่

พ่อผมมีแต่โคลนเลอะหน้าแข้ง
ไม่อาจขันแข่งเทียบได้
แม่ผมตำน้ำพริกเผ็ดบรรลัย
แต่ผมกินได้เพราะชอบ

ผมมันบัณฑิตโง่
แต่ชอบคุยโตอวดอ้าง
มิใช่ยึดมั่นไม่ปล่อยวาง
แต่บนหนทางก็พอรู้

พวกเอ็งเหล่าบัณฑิตใหญ่
เขายกให้เป็นชั้นปัญญา
แต่เรื่องชาวไร่เรื่องชาวนา
เอ็งเคยรู้ค่าหรือไม่

ท่าน ส.ศิวรักษ์เขาชี้แจง
เอ็งอย่าเคลื่อบแคลงสงสัย
ตรึกตรองให้คล่องโดยไว
มิใช่เฉยชาแชเชื่อน

ขอจบกลอนอ่อนหัด ลิเกกล่าว
ในคราคราวที่ประเทศอาเพสหนัก
ลูกทุ่งหน้าโหดคนนี้ยังคงรัก
จึงเตือนตักหนักแกมโฉด อย่าโกรธ เอย

เตรง เตรง เตรง เตรง

เตรง เตรง เตรง เตรง เตรง

....................................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

เมฆบ้า ศิษย์หัวคันนา



Thursday, July 06, 2006

วอดก้าล้นแก้ว


วอดก้าล้นแก้ว

ศาสตราจารย์ผู้ยิ่งยง รอบรู้สรรพปัญญาทั้งปวง เนื่องจากสำเร็จการศึกษาระดับโคตะระดุษฎีบัณฑิต แปดปริญญา

แกพากเพียรอ่านเขียนงานวิชาการ วิจารณ์ วิจัย ทั้ง ธรรม อรรถ กาม ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ฮา ฮา จนล่วงรู้ฟ้าดิน สามารถพยากรณ์ เอลนิโน่ ราตินญ่า ทสุนามิ ได้อย่างแม่นยำ ชื่อเสียง ขจรขจายไปทั่วทั้งแปดทิศ เก่งชะมัด เลยแหละ ว่างั้น

อยู่มาวันนึงแกได้ยินว่า มีอาจารย์ชราผู้เก่งกาจสามารถล่วงรู้ปริศนา คือ ความจริงแท้ อันมีหนึ่งเดียว เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในฐานะผู้ร้อนวิชา จึงเดินทางด้วยเท้าไปพบกับอาจารย์ชราเพื่อหวังลองวิชา ว่าจะแน่สักแค่ไหน

เมื่อฝ่าหิมะโปรยปรายมาถึงสำนักอาจารย์ชรา แกก็เดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ พร้อมกล่าวคำทักทายในขณะที่อาจารย์ชรากำลังรินวอดก้าผสมน้ำส้ม (สครูไดรเวอร์)สูตรมอมสาว เพื่อต้อนรับศาสตราจารย์ผู้ยิ่งยง

ศาสตราจารย์ยิ่งยงกล่าวว่า ไหนท่านลองบอกมาซิว่า ความจริงแท้ คืออะไร

อาจารย์ชราไม่ตอบคำถามแต่อย่างใด กลับรินวอดก้าลงในแก้วจนสุราคอมมิวนิสต์เก่าล้นกระฉอกออกนอกถ้วยหกเลอะเทอะ ขากางเกง

เฮ้ย ทำไมท่านอย่างนี้ฟะ

อาจารย์ชรา ตอบ หากท่านต้องการล่วงรู้ความจริงแท้ กรุณาทำแก้วของท่านให้ว่าง มิเช่นนั้น ท่านก็จะเลอะเทอะ เช่น วอดก้าแก้วนี้ ฮา ฮา

(ดัดแปลงจาก ชาล้นถ้วย นิทานเซน เรื่องหนึ่ง)

........................................

นิทานเรื่อง นี้ สอนให้รู้ว่า คนที่เรียนมามากๆ จะอีโก้เยอะ จนไม่อาจรับฟังใครได้ ดุจวอดก้าล้นแก้ว ที่ไม่อาจเทสิ่งใดลงไปได้ เพราะจิตใจเต็มไปด้วยความรู้ และยึดมั่นในความรู้ของตน ก็ย่อมยากที่จะรับฟัง ธรรม อันประเสริฐ และบางครั้งความรู้ที่รู้อาจทำให้เลอะเทอะขากางเกงจนราดน่องก็เป็นได้ ฮา ฮา

จริง หรือ หลอก

เฉลย หลอก

การตีความนิทานดังกล่าวมาข้างต้น แท้จริงเป็นเพียงการตีความในระดับศีลธรรมเท่านั้นยังมิใช่ แก่นที่ เซน ต้องการสื่อสาร

แก้วที่ว่างเปล่า คือ จิตเดิมแท้

วอดก้า คือ บรรดาความรู้ ความยึดมั่น ที่ต้องเททิ้ง หรือก้าวพ้น

ไม่มีวอดก้าที่อาจารย์ชราจะเติมให้ศาสตราจารย์ยิ่งยงหรอก

เททิ้งวอดก้า คือ การเติม ที่ไม่มีการเติม

เมื่อนั้น อาจารย์ชรา ศาสตราจารย์ยิ่งยง วอดก้า และแก้ว ย่อมหายไป

หายไปได้ไงฟะ เอาคืนมา


ฮา ฮา ฮา

..........................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

เมฆบ้า ปัญญาอ่อน