Sunday, May 27, 2007

ความงาม


ความงาม

ตอนที่ผมบวช เป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเจ็ดวัน
บวชที่วัดข้างบ้าน ใกล้ดี
วัดที่ผมบวชเป็นวัดเล็กๆ
และในวัดเล็กๆ มีความงามปรากฏอยู่

ในวัด มีพระแก่อยู่องค์ อายุราวๆ 80
ในทุกเช้าเมื่อฉันอาหารเสร็จ
ท่านจะไปนั่งสูบยาเส้นอยู่บนม้าหินตรงลานวัด
ในเวลาสายๆยายแก่อดีตภรรยาของท่านจะมาที่วัด
คอยกวาดลานวัด อยู่ไม่ห่างจากสายตาของพระแก่

พอยายแก่ กวาดลานวัดเสร็จ
พระแก่ก็จะเอาข้าวและกับข้าวที่เหลือมาวางไว้ให้
ผมไม่เคยเห็นคนทั้งคู่พูดกันเลยสักคำ

สิ่งที่ผมเห็นและตีความ คือ ความรัก
คือ ความเมตตาของพระแก่ที่มีต่อยายแก่
คือ ความรักที่อดีตหญิงสาวยังคงผูกพันอยู่กับอดีตชายหนุ่ม
คือความบริสุทธิ์ที่พ้นเลยไปกว่า เนื้อหนัง ฐานะ และวันวัย

เหตุนี้กระมัง ที่หลากหลายกวีนิพนธ์ กระทั่งหลากหลายศาสดา
เรียกมันว่าความรัก

ความรัก จึงเป็นสิ่งที่งดงามยิ่ง ข้าพเจ้าเชื่อและตีความเช่นนั้น

.................

ในงานศพคุณย่า
ผมอยู่ในที่นั้น ณ ขณะที่โลงยังไม่ถูกยกขึ้นบนแท่น
ปู่ของผมเดินมา และสั่งให้สัปปะเหร่องัดฝาโลงออก

สิ่งที่ผมเห็น คือ ปู่ของผม เอามือลูบผมขาวโพลนของย่า
พร้อมกับวาวตาเอ่อน้ำของชายหนุ่มในร่างของปู่ผม

ปู่กับย่าผมเลิกรากันไปเมื่อหลายสิบปีก่อน
และกลับมาพบกัน เมื่อย่าสิ้นลม
แต่สิ่งที่ยังเป็นนิรันดร

คือ ความรัก ของชายหนุ่มคนหนึ่ง
ชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยรานร้าว

แล้ว ความรัก ก็ทำหน้าที่ของมันได้สมบูรณ์
เมื่อความปรารถนาเหือดแห้งไปจนหมดสิ้น

ความบริสุทธิ์ ความรัก อันเป็นความงามอย่างที่สุดย่อมปรากฏ

ผมเชื่อและตีความเช่นนั้น

แม้จะต้องเดินทางอีกยาวไกลก็ตาม

.............

แด่สุวัฒน์ วรดิลก เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
เหล่าอัศวินและอัศวิณีแห่งความรัก
ผู้งดงาม

Tuesday, May 15, 2007

กรณีภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม : กรณีรุมทึ้งประเทศไทย



นับแต่วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี ๒๕๔๐ ภาคเศรษฐกิจไทยเกือบทั้งระบบได้กลายเป็นเพียง “แมวน้ำ” ใน “ดงฉลาม” เศรษฐกิจภาคแล้วภาคเล่าได้ตกอยู่ในอุ้งมือของนักไล่ล่าอาณานิคมชาวต่างชาติแทบจะเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นภาคการเงิน การธนาคาร ภาคอุตสาหกรรมหนัก ทั้งซีเมนต์ เหล็ก ปิโตรเคมี จนบรรดาตระกูลนายทุนไทยแทบจะสูญพันธ์ออกจากระบบเศรษฐกิจ เหลือรอดอยู่เพียงไม่กี่ตระกูล ซึ่งตระกูลที่เหลือรอดส่วนใหญ่ก็มักประกอบธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ในรูปแบบของการได้รับสิทธิสัมปทานจากรัฐ และบางตระกูลก็มีการหลีกเลี่ยงกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และกฎหมายการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยการขายกิจการให้ต่างชาติทั้งต่างด้าวในแถบเอเซีย และยุโรป

ดังนั้นหากมองถึงผู้เล่นภาคเอกชนในกิจการโทรคมนาคมซึ่งแท้จริงมีสถานะเป็นเพียง ผู้ร่วมการงาน “บริการสาธารณะ”ตามสัญญาสัมปทาน เท่านั้น จะพบว่า มีผู้เล่นทั้งหมด กำลังสำแดงบทบาทรุกคืบเข้าครอบงำภาคเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ภาคสุดท้ายที่ยังอยู่ในอาณัติของประเทศไทย ก็คือ ภาคโทรคมนาคม อันมีผลประโยชน์ของชาติและประชาชนสถิตย์อยู่มากมายมหาศาล

เมื่อวันอังคารที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐ คตส.ได้มีการนำเสนอความเห็นให้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ กับ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม ซึ่งกรณีดังกล่าว นอกจากแสดงออกถึงความไม่สุจริตของรัฐบาล ณ ขณะนั้น แล้ว กรณีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคม โดยมีการออกมติ ครม.ตามหลังมาให้มีการหักภาษีสรรพสามิตฯออกจากส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องส่งให้กับรัฐวิสาหกิจ ยังเป็นการแสดงออกถึง ขบวนการรุมทึ้งประเทศไทย โดยองค์กรรัฐ องค์กรภาคเอกชนทั้งไทย และเทศ ทั้งที่มีฐานะถูกต้องตามกฎหมาย และผิดกฎหมาย ในการเข้าทำลายผลประโยชน์ในกิจการโทรคมนาคมอย่างอุกอาจ

๑. ลำดับขั้นตอนการรุมทึ้งกิจการโทรคมนาคม

ปี ๒๕๔๖ เป็นปีที่รัฐบาลทักษิณกำลังก้าวถึงจุดสุดยอดทางการเมือง โดยปีนั้นเป็นปีที่มีการประชุม APEC ซึ่งประเทศไทยรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพเพื่อต้อนรับบรรดาผู้นำจากต่างประเทศหลายสิบชีวิต นอกจากนั้นในปี ๒๕๔๖ ต้องถือว่าเป็นปีแห่งการเริ่มต้นการรุมทึ้งประเทศไทยในกิจการโทรคมนาคมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยขบวนการดังกล่าวดำเนินไปภายใต้ความร่วมมือของทั้งองค์กรในภาครัฐบาลและ ภาคเอกชน อย่างแข็งขัน โดยการกุมบังเหียนของผู้นำประเทศตามระบบการรวบอำนาจเข้าสู่ท่านผู้นำ ซึ่งขั้นตอนในการรุมทึ้งประเทศไทย มีจุดเกิดเหตุ ณ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)นั้น มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ ๑ การตั้งอัตราการเรียกเก็บภาษี เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๖ ครม.มีมติอนุมัติ พรก.ภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม โดยกำหนดในอัตราเพดานสูงสุดร้อยละ ๕๐ โดยไม่มีเหตุผลสมควรทั้งในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายภาษีอากร

ขั้นตอนที่ ๒ แปลงค่าสัมปทานเกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีโดยให้รัฐวิสาหกิจจ่ายภาษีแทนเอกชน ๒๘ มกราคม ๒๕๔๖ ครม.มีมติอนุมัติการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของกิจการโทรคมนาคม ในกิจการโทรศัพท์พื้นฐาน จากรายรับจากการให้บริการโทรศัพท์ในประเทศ ร้อยละ ๒ และกิจการโทรศัพท์มือถือร้อยละ ๑๐ โดยให้เอกชนนำภาษีที่เสียหักออกจากส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องส่งให้กับรัฐวิสาหกิจตตามสัญญาสัมปทาน

ขั้นตอนที่ ๓ กำหนดแนวทางการรีดค่าสัมปทานจากรัฐวิสาหกิจ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ ครม.มีมติกำหนดแนวทางการหักค่าภษีสรรพสามิตฯออกจากส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องส่งแก่รัฐวิสาหกิจ โดยในกรณีของโทรศัพท์พื้นฐาน ซึ่งรัฐวิสาหกิจเป็นผู้จัดเก็บรายรับจากค่าบริการ กำหนดให้รัฐวิสาหกิจต้องจัดส่งภาษีให้กับเอกชนเป็นผู้นำไปชำระ ส่วนกรณีโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเอกชนเป็นผู้จัดเก็บรายรับค่าบริการ กำหนดให้เอกชนหักภาษีสรรพสามิต ออกจากส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องส่งคืนให้รัฐวิสาหกิจ ซึ่งโดยสรุปทั้งสองกรณี คือ การกำหนดให้รัฐวิสาหกิจ ต้องเสียภาษีสรรพสามิตแทนเอกชน

ขั้นตอนที่ ๔ ซ้ำเติมโดยการรีดภาษีจากรัฐวิสาหกิจ พรก.ภาษีสรรพสามติกิจการโทรคมนาคมกำหนดให้ รัฐวิสาหกิจ เช่น ทีโอที ต้องเสียภาษีดังกล่าวตามอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้อีกด้วย กรณีดังกล่าว เท่ากับ ทีโอที ต้องเสียภาษีจากรายรับในกิจการที่ตนเอง และเสียภาษีแทนเอกชนไปพร้อมกัน โดยกรณีนี้ เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๘ กรมสรรพสามิตได้ตอบข้อหารือว่า “การที่ ทีโอที เป็นผู้ประกอบกิจการที่ได้รับอนุญาตหรือสัมปทานจากรัฐ จึงมีหน้าที่เสียภาษี” แต่กรณีเอกชนที่เป็นผุ้รับสัมปทานกลับให้รัฐวิสาหกิจเป็นผุ้เสียภาษีแทนซึ่งกรณีดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อรัฐวิสาหกิจ คือ ทีโอที อย่างชัดเจน

ขั้นตอนที่ ๕ เอกชนที่ไม่เกี่ยวข้องโยนภาระภาษีให้กับทีโอที การหักค่าภาษีสรรพสามิตฯออกจากส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาสัมปทานนั้น นอกจากจะมีปัญหาความไม่เป็นธรรมแล้ว บริษัทเอกชนที่เป็นคู่สัญญา กับ CAT ได้ฉวยโอกาสนำภาษีสรรพสามิตฯมาหักออกจากเงินค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (Access Charge) ที่ต้องส่งให้กับทีโอที ทั้งที่สัญญาการเชื่อมโยงโครงข่ายไม่ได้มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทานตามขอบเขตที่ มติ ครม.ลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๖ กำหนดไว้แต่ประการใด นับเป็นการฉวยโอกาสของภาคเอกชนที่ไร้จริยธรรมโดยสิ้นเชิง

ขั้นตอนทั้งห้าขั้นตอนที่ดำเนินไปนั้น ได้สร้างความเสียหายให้กับ ทีโอที เป็นจำนวนเงินมากมายมหาศาล แต่ก่อนที่เราจะไปพิจารณาว่าเกิดความเสียหายอะไรขึ้นบ้างนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นลำดับต่อไป คือ สถานะของมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๖ และ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖

๒.สถานะของมติคณะรัฐมนตรี กับการแปรสัญญาสัมปทานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

หากพิจารณาโดยใช้มุมมองแบบนักกฎหมายบ้านเมือง (Positivism ) ถึงสถานะของ พรก.ภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม พรก.ดังกล่าวถือได้ว่ามีผลใช้บังคับ เนื่องจากได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยว่า พรก.ดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแต่ประการใด กรณีจึงส่งผลให้ ผู้ประกอบการในกิจการโทรคมนาคม ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานภาครัฐหรือ ภาคเอกชน มีหน้าที่จะต้องชำระภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคมโดยถ้วนทั่ว และเสมอหน้ากัน ( Equality before The Law)
แต่ด้วยผลของมติ ครม.ลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๖ และ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖
ทำให้รัฐวิสาหกิจ คือ ทีโอที ต้องเป็นผู้แบกรับหน้าที่ในการชำระภาษีดังกล่าวแทนเอกชน โดยที่ ทีโอที ก็ต้องชำระภาษีในส่วนของตนเองด้วย กรณีดังกล่าวจึงเห็นได้ชัดว่า รัฐบาล ณ ขณะนั้น มีมติ ครม.ออกมา เพื่อทำลายล้างรัฐวิสาหกิจ และผลักดันประเทศให้มีการเปิดเสรีแก่ภาคเอกชน อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งๆที่ ประเทศไทยนั้นมีความผูกพันตามข้อตกลงการเปิดเสรีบริการโทรคมนาคมภายในสิ้นปี ๒๕๔๙ ตามกรอบข้อตกลงที่มีกับองค์การการค้าโลก (World Trade Organisation) เฉพาะกิจการ โทรเลข เทเล็กซ์ เท่านั้น กรณีการดำเนินนโยบายเปิดเสรีโดยใช้มติ ครม.แบบล้นเกินกว่ากรอบความผูกพันที่มีตามข้อตกลงระหว่างประเทศ จึงเป็นเครื่องแสดงออกถึง ความไร้อารยะธรรมในทางกฎหมายของรัฐบาลในห้วงปี ๒๕๔๖ อย่างชัดเจน
นอกจากการใช้มติ ครม.ดังกล่าวจะเป็นการดำเนินการแบบล้นเกินจากความผูกพันในทางระหว่างประเทศแล้ว หากพิจารณาถึงสถานะในทางกฎหมายของมติ ครม.จะพบว่า มติ ครม.แท้จริงแล้วไม่ได้มีสถานะเป็นกฎหมายแต่ประการใด ซึ่งส่งผลทำให้ มติ ครม.ไม่อาจมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของสัญญาสัมปทาน โดยการกำหนดให้นำภาษีสรรพสามิตไปหักออกจากส่วนแบ่งรายได้ ที่เป็นข้อสัญญาข้อหนึ่งในสัญญาสัมปทานได้ ซึ่งการแก้ไขสัญญาสัมปทานนั้น จะทำได้ก็แต่โดยผลของกฎหมาย ซึ่งในที่นี้ก็ คือ พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.๒๕๓๕ เท่านั้น

ดังนั้นหากพิจารณาถึงสถานะในทางกฎหมายของ มติ ครม.ดังกล่าว โดยสรุปจะพบว่า

๑.มติ ครม.ลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๖ และ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ ไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมาย
๒.มติ ครม.ลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๖ และ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ มีผลเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของสัญญาสัมปทานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
๓.มติ ครม.ลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๖ และ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ ได้ทำลายหลักการขั้นตอนในดำเนินการและบริหารสัญญาสัมปทานตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.๒๕๓๕

ทั้งหมดแสดงออกถึง การใช้อำนาจรัฐแบบอุกอาจ การใช้ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจโดยขาดเหตุผลและนิติวิธี และยังเป็นเครื่องแสดงออกถึงไร้อารยะธรรมในการปกครองประเทศโดยหลักนิติธรรมอย่างชัดเจน

๓.ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรัฐวิสาหกิจ

กรณีการเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคมได้สร้างความเสียหาย ต่อรัฐวิสาหกิจ คือ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ดังนี้
๑.ภาระภาษีที่ ทีโอที ต้องชำระในนามของเอกชนคู่สัญญาสัมปทาน จำนวนทั้งสิ้น ๓๑,๒๓๑ ล้านบาท โดยแยกเป็น AIS จำนวน ๒๙,๑๒๑ ล้านบาท TRUE จำนวน ๑,๔๓๓ ล้านบาท และ TT &T จำนวน ๖๗๗ ล้านบาท
๒.ภาระภาษีที่ ทีโอที ต้องชำระในนามของตนเอง จำนวน ๗๓๕ ล้านบาท
๓.การสูญเสียรายได้จากค่า แอกเซสชาร์จ ที่คู่สัญญาสัปมทานของ บริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จำนวน ๖,๑๕๐ ล้านบาท โดยแยกเป็น DTAC จำนวน ๓,๖๕๕ ล้านบาท True Move จำนวน ๑,๖๑๐ ล้านบาท และ DPC จำนวน ๘๘๔ ล้านบาท
รวมความเสียหายทั้งสิ้น เป็นจำนวนเกือบ สี่หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินทั้งหมดที่สูญเสียไปได้ตกไปอยู่ในมือ ของบริษัทเอกชนที่ดำเนินการกิจการโทรคมนาคมแทบจะทุกบริษัท และยังเป็นผันแปรค่าสัมปทานเพื่อดูดกระแสเงินเข้าสู่ส่วนกลาง ที่มุ่งเน้นการบริหารงานแบบ CEO ที่สถาปนาระบบการควบคุมกระแสเงินสด เพื่อเอื้อประโยชน์ในทางการเมืองและเศรษฐกิจให้กับตนเองและพวกพ้อง พร้อมกับการทำลายรัฐวิสาหกิจอันเป็นสมบัติสาธารณะ

จากเหตุผลข้างต้น กรณีภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม จึงเป็น กรณีการรุมทึ้งประเทศไทย จากเหล่ากระสือทุนนิยมทั้งไทยและเทศอย่างเป็นระบบและขบวนการ และผลที่เกิดขึ้นสอดรับกับเอกสารวิจัยส่วนบุคคล ลักษณะวิชา การเศรษฐกิจ เรื่อง การแปรสัญญาร่วมการงานด้านกิจการโทรคมนาคม :กรณีศึกษาเฉพาะกลุ่มสัญญาบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และกลุ่มสัญญาบริการโทรศัพท์พื้นฐาน ของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐรัฐร่วมเอกชน รุ่นที่ ๑๔ ผู้หนึ่ง อย่างแยกกันไม่ออก

๔.บทสรุป

กรณีภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคมได้ให้บทเรียนที่สำคัญที่ทุกภาคทุกฝ่ายในสังคมไทยต้องเรียนรู้ถึง พิษภัยของการใช้อำนาจในทางกฎหมายโดยไม่ถูกต้องชอบธรรม การดำเนินนโยบายในทางเศรษฐกิจแบบล้นเกินกว่ากรอบข้อตกลงในทางกฎหมายระหว่างประเทศ การปล้นสดมภ์รัฐวิสาหกิจที่เป็นสมบัติสาธารณะ การสถาปนาระบบการควบคุมกระแสเงินสดเพื่อการใช้จ่ายงบประมาณในระบบ CEO อย่างไร้กรอบขอบเขต ซึ่งทั้งหมดอาจสรุปลงในคำไทยแท้สั้นๆ คือคำว่า “ โกง ” โดยเบื้องหลัง การ “ โกง ” อันสลับซับซ้อนผ่านตัวบทกฎหมายและมติ ครม. ย่อมมีนักกฎหมายรุ่นลายครามเป็นเงาทะมึนอยู่เบื้องหลัง และสิ่งคนไทยจะต้องเรียนรู้ คือ ประเทศแห่งนี้ คือที่ตั้งของ ซ่องโจรทางเศรษฐกิจแห่งวิทยาลัยทำลายอาณาจักร วิทยาลัยอันกว้างใหญ่และไร้ที่ทางสำหรับการบ่มเพาะเมล็ดพันธ์ทางศีลธรรม

Wednesday, May 09, 2007

เสรีภาพในการเดินทาง


ผมเป็นนักเดินทางตั้งแต่เด็ก เป็นมันโดยความริเริ่มของพ่อ แม่

ความจริง คือ ผมไม่ได้อยากเดินทางเลย

ตอนเด็กๆคงไม่มีใครไม่อยากอยู่กับพ่อและแม่ และแพ็กกระเป๋าออกท่องเที่ยวเดินทาง

ผมก็เหมือนกัน ผมอยากอยู่กับพ่อแม่ของผม แต่ผมบังเอิญเกิดมาเป็นนักเดินทาง มันก็เลยต้องเดินทาง

........

ผมเดินทางตั้งแต่ หกขวบ เดินทางไปยังจุดหมายของคนอื่น

จุดหมายที่วาดหวังโดยมายาคติว่าด้วย "เจ้าคนนายคน" หรือ "ความเป็นใหญ่เป็นโต"
อันเป็น ความฝันของชาวชนบท แบบ Local Thai Dream

ณ วันนั้น ผมยืนอยู่ ณ ที่แห่งใหม่ ในวัยที่ไม่รู้จักอะไร วัยหกขวบ ในที่แห่งใหม่
รู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่ในโลกเลยสักคนเดียว ผมเคยร้องไห้บ่อยๆ ในตอนเด็ก ร้องไห้เพราะเอาแต่ใจตัวเอง
กระจองอแง อยากได้ของเล่น อะไรเทือกนั้น แต่ครั้งนั้น เป็นครั้งแรก

ครั้งแรกที่น้ำตาไหล ด้วยความรู้สึกที่ว่า ไม่มีใครอยู่ในโลกใบนี้เลย
มีเราอยู่คนเดียว ไม่มีพ่อ แม่ หรือ มีก็คิดว่าทำไมพ่อและแม่ใจร้ายจัง

...............

นับแต่นั้น ผมก็มีโอกาสได้เดินทางบ่อยขึ้น ผมเริ่มมีจุดหมายของตัวเอง
ผมก็ไม่แน่ใจว่านั่นคือจุดหมายของผม หรือ ผมเพียงแต่ยึดเกาะจุดหมายที่พ่อ แม่และสังคมยัดเยียดให้

การอยู่คนเดียว การเดินทาง บางที เมื่อดูรูปลักษณ์ภายนอกมันก็มีหน้าตา คล้ายกับ เสรีภาพ จนแทบจะแยกความแตกต่างไม่ออก
แต่เนื้อในของมันแท้จริงนั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ใครหลายคนในยุคสมัยแห่งความอ่อนล้า มักชอบออกท่องเที่ยวเดินทาง ไปตามจุดหมายต่างๆ
ไปตามภูเขา ทะเล สายหมอก แม่น้ำ ปราสาท ราชวัง หรือกระทั่งการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ
พวกเขาเรียกสิ่งนั้น ว่า การเดินทาง ที่มักเคลื่อบแฝงความรู้สึกซาบซ่านระบาดในหัวใจ ที่เขาทั้งหลายเรียกมันว่า เสรีภาพ

สำหรับผม นักเดินทางในวัยเยาว์
ผมกัลบรู้สึกว่า การเดินทางกับเสรีภาพเป็นคนละเรื่อง
ผมเคยเดินทางไปโดยไม่เคยรู้สึกเลยว่า ผมมีเสรีภาพ

ผมรู้สึกแต่เพียงว่า ทุกเที่ยวเดินทาง มีแต่น้ำหนักของเหตุการณ์ ผู้คน ที่คอยบีบเค้นเร่งเร้าหัวใจ
น้ำหนัก คือ กรงขัง ที่ขังหัวใจ ของเราไว้ใน ความสุข เสียงหัวเราะ ความเศร้า งานรื่นเริง กระทั่ง ความเจ็บปวดร้าวราน
แล้วการเดินทางจะเป็นเรื่องเดียวกับเสรีภาพได้อย่างไร ผมเคยคิดเช่นนั้น


และแท้จริง การเดินทางมันนำเราไปพบกับเสรีภาพ หรือ กรงขังกันแน่
....................

สำหรับผมเสรีภาพไม่ได้เกิดจากการที่เราได้ออกท่องเที่ยวเดินทาง หรือการได้ทำอะไรตามใจตัวเอง
นั่น ไม่ใช่เสรีภาพ หรือมันถุกอาจเรียกผิดๆว่า เสรีภาพ ก็ได้
เพราะเสรีภาพที่แท้ต้องไม่ใช่ เสรีภาพ จาก บางสิ่งบางอย่าง เช่น เสรีภาพที่ได้รับจากการเดินทาง
ที่ผมว่ามันไม่ใช่เสรีภาพ เพราะมันต้องพึ่งพิงบางสิ่งบางอย่างก่อน ต้องมีเงื่อนไขบางอย่างเกิดขึ้นก่อน เสรีภาพจึงมาได้

เสรีภาพที่แท้ ต้องไม่ผ่านประตูใดๆ เงื่อนไข ใดๆ หรือ การเดินทางใดๆ

สำหรับผม บางที การเดินทางก็มีส่วนช่วยให้ผมสามารถสลัดคืน ความไร้เสรีภาพได้เช่นกัน
เพราะขณะที่ผมออกเดินทางอย่างเดียวดาย มันเป็นโอกาสอันดี ที่ผมจะได้นัดพบกับตัวตน

ตัวตนอันหมายถึง

ร่างกายที่สร้างขึ้นจากฝุ่นและความตาย แบบที่กฤษณมูรติ กล่าวไว้

ความคิดที่แล่นเข้าออกอยู่ในหัวสมองโดยไร้การควบคุม

สัญชาตญาณที่เร่งเร้าให้เราต่อสู้ หิว กระหาย และร้ายกาจ

หัวใจ อวัยวะอ่อนบางที่ไร้เสรีภาพ ที่ถูกหุ้มห่อไว้ด้วย นานาอารมณ์

...........

ในการเดินทาง อันแสนยาวนาน นับแต่เยาว์วัย
ผมพบว่า การเดินทางที่แท้จริง เริ่มที่ลมหายใจและการภาวนา

ลมหายใจที่พาเราไปเฝ้าดู และตามรู้ แรงแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่สิงสถิตย์อยู่ในตัวเรา

ในการเดินทางกลับสู่ภายใน ผมก้มตัวลงต่ำๆ ค่อยๆถอยตัวเอง ออกมาจากตัวตน

สิ่งที่ผมพบ คือ เสรีภาพ

เสรีภาพที่ผนึกแนบแน่น เป็นเนื้อเดียว ในทุกย่างก้าวของการเดินทาง

ผมมีหน้าที่เพียงรักษา การรู้ ด้วยสติและลมหายใจ

ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้

...........

เมฆบ้า