Friday, March 30, 2007

สนามเล่นเด็ก


สนามเล่นเด็ก


เด็กชายหมี จูงมือน้องพุ่มไม้ ไปเล่นกันที่สนามเด็กเล่น

น้องพุ่มไม้ ขึ้นไปนั่งบนชิงช้า เด็กชายหมีคอยแกว่งให้

สนุกกันใหญ่ตามภาษาเด็ก

ที่ม้าหมุน น้องดำ น้องละมุด น้องชาเขียว น้องโอ กำลังเล่น ม้าหมุนอยู่กับพี่คิวอย่างสนุกสนาน

เด็กชายหมี และน้องพุ่มไม้ เห็นดังนั้น จึงเข้าไปร่วมวงม้าหมุนด้วย

พี่คิว ต้อนรับเด็กชายหมี และน้องพุ่มไม้ อย่างเต็มใจ

เด็กทั้งหมดจึงเล่นม้าหมุนกันอย่างสนุกสนาน

เมื่อเล่นเหนื่อยแล้ว พี่คิว ก็พาน้องๆทุกคน ไปกินไอติม

สนุกจริงๆ

...........


สี่สิบปีต่อมา


เด็กชายหมี หรือ โทนี่ แบลร์ ได้เป็นนายกชาวเกาะบ้าบอล

น้องพุ่มไม้ หรือ จอร์จ บุช ได้เป็นประธานรัฐรวมแมคโดนัล

น้องดำ หรือ ซัดดัม ฮุสเซน ได้เป็นประธานลุ่มน้ำไทกริส ยูเฟรติส

น้องละมุด หรือ มามุด อามาดิเนจาด ได้เป็นประธานแห่งเปอร์เซีย

น้องชาเขียว หรือ ฮูโก้ ชาเวซ ได้เป็นประธานแห่งเมืองนางงามจักรวาล

น้องโอ หรือ โอซามา บิน ลาเดน ได้เป็นดาราฮอลลีวู้ด ฝ่ายโจร

ส่วนพี่คิว พี่ใหญ่ หรือ ฟิเดล คาสโตร ได้เป็นประธานเกาะซัลซ่าส์ ตอนนี้พี่คิวกำลังป่วยหนัก

................

น้องโอ ส่งเรือบินเด็กเล่นไปถล่มตึกขายลูกกวาด ของน้องพุ่มไม้ จนกลายเป็น กราวด์ ซีโร่ ไฟลุกท่วมเลย

เด็กชายหมี และน้องพุ่มไม้ จึงส่งกำลังทหารเข้าไปจับตัว น้องโอ

และยัง เข้าไปถล่ม น้องดำ และจับน้องดำแขวนคอเล่น สนุกดี

อีกไม่นานก็จะรุกคืบ ไปหา น้องละมุดแล้ว โดยหาว่าน้องละมุดเล่น ระเบิดนิวเคลียร์เสียงดัง หนวกหู


น้องชาเขียว ไปเยี่ยมไข้พี่คิวเป็นระยะ
ตอนนี้น้องชาเขียวกำลังตั้งแกงค์ใหม่ในลาติน
เอาไว้ไปเล่นกับ เด็กชายหมีและน้องพุ่มไม้ ใหม่

..............

ทุกคน เรามาเล่นม้าหมุนกันนะ

หมุนให้โลกวิ่งเร็วจี๋ แกว่งชิงช้าให้หัวเหวี่ยง มึนดี

แล้วอีกไม่นาน เราค่อยตามพี่คิวไปกินไอติมกันนะ

สนุก สนุก

...............

เมฆบ้า

Wednesday, March 28, 2007

Beauty Funeral


Beauty Funeral

มหาปราชญ์ใกล้ดับชีวาวาย

เหล่าสานุศิษย์ล้วนรายอยู่ล้อมรอบ

ตามตำรับกตัญญุตา เหล่าศิษย์ยา รอฟังคำตอบ


มิทันพลันเกษรพิกุลหลุดร่วง

คหบดี Tycoon สั่งลูกน้องเตรียมจัดงานศพให้สมฐานะความยิ่งใหญ่

เตรียมโลงทอง ฝังเพชรนิลจินดา นานา

เตรียมดนตรีเครื่องสายวงใหญ่เบิ้ม

ทำพีธี เจ็ด ทิวา เจ็ดราตรี

ประโคมดนตรี นางฟ้อน ภักษาหารชั้นเลิศ เป็ดโลหิตจากปารีส เซ่นสรวงดวงวิญญาณอย่าได้ขาด

ประดับไฟโคมระย้า แชนเดอเรีย จาก จิออจิโอ้ กาลากิณี่ ให้ทั่วทั้งปรัม

แลให้เชิญ เจ้าเจ็ดหัวเมือง เซียนทั้งแปด กระทั่งบรรดา อภิรัฐมนตรี มาประชุมเพลิง โดยพร้อมเพรียง

ของชำร่วย เป็น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุค แอปเปิล เจเพรส คนละเครื่อง


ประกาศความร่ำรวย และความยิ่งใหญ่ให้ระบือลือไกล เจ็ดคาบมหาสมุทร บอลข่าน คามชาสก้า และเกาหลี

.................


ช้าก่อน ไอ้ศิษย์รัก หยุดฟังคำ


เจ้าจะเอาเตียงตั้ง โลงทองมาตั้งศพข้า ทำไมเล่า ?

ในเมื่อร่างกายของข้า ก็ทอดไปบน มหาธรณีอันยิ่งใหญ่นี้อยู่แล้ว


เจ้าจะประดับโคมไฟระย้า ทำไมเล่า ?

ในเมื่อ เหล่า ตาวัน จันทรา และหมู่ดาว ก็ส่องแสงพราว เพดานงานศพ คือฟากฟ้า มิได้ขาด


เจ้าจะประโคมดนตรีสังคีต ทำไมเล่า ?

ในเมื่อเหล่าวิหค ผกผิน ก็ขับครวญสำเนียงยินไพเราะอยู่รายรอบ


เจ้าจะเชิญแขกเรื่อมามากมาย ทำไมเล่า ?

ในเมื่อเหล่าสรรพสัตว์ และพืชพันธ์ ธัญญา ก็ล้วนเป็นสักขีพยานให้กับการจากไปของข้า

ซึ่งแท้จริงหาได้มีการจากไปไม่


งานศพของข้า งดงามอยู่แล้ว

มิพักต้องแต่งเติมให้เสียเวลาดอก ศิษย์โง่

..........

เมฆบ้า

Sunday, March 25, 2007

Heart Positions



Heart Positions


วิชาสุขศึกษาสอนให้เรารู้ว่า หัวใจอยู่ตรงกลางช่องอก และเอียงตัวไปทางซ้าย
ซึ่งคงไม่เกี่ยวกับการเอียงตัวของแกนโลกกระมัง

ชื่อก็บอกอยู่อย่างชัดเจนว่า หัวใจ แสดงว่า หัวใจ เป็น หัวใจ ของการดำรงอยู่ของทุกคน
สำหรับคนที่ไม่หัวใจ หรือ หัวใจล้มเหลว ความเป็น คน ย่อมไม่อาจดำรงคงอยู่ต่อไปได้

นั่นเป็นตำแหน่งแห่งที่ ของ หัวใจ ใน ร่างกายของเรา
หัวใจ อาจจะดวงเล็กๆ กลมๆ และมีขนาดเท่ากำปั้น แต่สำคัญนะ

.............

หัวใจอยู่ในช่องอก แต่มันอยู่ที่นั่นตลอดเวลาหรือ
ทำไมคนส่วนใหญ่กลับไม่รู้สึกว่าหัวใจมันอยู่ที่นั่น

หัวใจมีนิสัยอย่างหนึ่ง คือ หัวใจเป็นพวกเร่ร่อน เป็นคนจรหมอนหมิ่น
และชอบออกท่องเที่ยวเดินทางไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อเราเป็นเด็ก หัวใจของเราอยู่กับที่ และได้รับการดูแลจากคนรอบข้าง

พ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อา
เวิ้งฟ้า ดวงจันทร์ ดวงดาว พระอาทิตย์ล้วนโคจรอยู่รอบหัวใจของเรา
ราวกับว่า มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเรา คนเดียวเท่านั้น

พอโตขึ้น หัวใจของเรา เริ่มพาเราไปสำรวจตรวจสอบสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา
บางทีหัวใจอาจกำลังเคลื่อนย้ายตัวมัน
เพื่อเตรียมความพร้อมขั้นต้นให้เราเติบโตเพื่อที่จะอยู่ในโลกนี้ได้กระมัง

หัวใจของเรา พาเราปีนต้นไม้ กระโดดน้ำ วิ่งเล่นกับเพื่อน
สำรวจสถานที่ลึกลับอย่างสวนหลังกำแพงบ้าน
พาเราไปจุดไฟเผาใบไม้เล่น
รื้อของเล่นทุกอย่างดูเพื่อแค่จะรู้ว่าข้างในมันมีอะไรซ่อนอยู่

เมื่อเราเป็นหนุ่มสาว หัวใจก็เริ่มเคลื่อนย้ายตัวเองอีกครั้ง
และพาเราเคลื่อนตัวสู่ดินแดนแห่งใหม่
ดินแดนแห่งนั้นเราอาจเรียกมันว่า ความปรารถนา ก็ได้

หัวใจของเราเต้นแรงขึ้น เมื่อดวงหน้าของเขาและเธอปรากฏ
ดอกไม้และของขวัญเริ่มกลายเป็นสิ่งสำคัญ
เลือดสีชมพูฝาดระบายที่ดวงหน้าของเรา
แรงดึงดูดและผลักไสเริ่มระดมโหมกระหน่ำใส่เราอย่างไม่ยั้ง

ผลของการเคลื่อนย้ายตำแหน่งหัวใจครั้งนี้ อาจกินเวลายาวนานทั้งชีวิตเลยก็ได้

หัวใจอาจเคลื่อนย้ายตัวเองอีกหลายครั้ง
มันอาจเคลื่อนย้ายไปสู่สิ่งที่สลับซับซ้อนมายิ่งขึ้น

เกียรติยศ ลาภ สรรเสริญ
การลงหลักปักฐานในชีวิต การแต่งงาน
การสร้างความมั่นคงใหกับครอบครัว
คัมภีร์ทางศาสนา วัด เครื่องลางของขลัง
ความเชื่อ พระเจ้า
กระทั่ง ความตาย
..............

ทั้งหมดล้วนเป็นตำแหน่งแห่งที่ ที่ หัวใจ จะเคลื่อนย้ายไปสู่
และในการเคลื่อนย้ายตำแหน่งแห่งที่ของหัวใจแต่ละครั้ง
ดูเหมือนว่าจุดมุ่งหมายที่เรามองเห็นช่างพร่าเลือน

หัวใจ พาเรา เคลื่อนที่ จากจุดหนึ่ง ไปสู่ จุดหนึ่ง

ผ่านสถานที่ เวลา ผู้คน อารมณ์ ความทุกข์ ความสุข


หัวใจพาเราเคลื่อนที่ไป โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดหมายทีแท้จริงอยู่ที่แห่งหนตำบลใด

................

ภาพฉากม่านสีแดงของชีวิต ที่ปลิดปลิวพริ้วไหวอยู่เบื้องหน้า รอท้าทายให้เราเดินต่อไป
เพียงเพื่อที่จะรับรู้ ถึงความร้อน หนาว และอบอุ่นของสิ่งทีเรียกว่าชีวิต

เมื่อฉากสุดท้ายคลี่คลายผืนแพรสีแดงออก
เราอาจไม่รูด้วยซ้ำว่า หัวใจ ของเราได้เร่ร่อนไปอยู่ ณ ตำแหน่งแห่งที่ใด

และ ณ ขณะที่ การเปลี่ยนเสื้อผ้าของชีวิตมาถึง
อาภรณ์ผืนใดเล่าที่ชีวิตเตรียมห่มคลุมให้เรา
และตำแหน่งแห่งที่ใดเล่า ที่หัวใจจะพาเราเดินทาง

...............

เมื่อหัวใจเคลื่อนย้ายตำแหน่ง สิ่งเดียวที่ปรากฏตามรายทางแต่มักไม่มีผู้พบเห็น

คือ ความรัก และเสรีภาพ

ความรัก ที่เราอาจเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างง่ายๆด้วยความปรารถนาดี

ว่า

ขอให้เธอมีความสุข

สิ่งนี้ คือ นิรันดรภาพ

ที่ปรากฎเรียงราย

ในทุกตำแหน่งแห่งที่

ในทุกจังหวะของการเต้นเริงระบำ

ที่หัวใจขยับเท้าพาเราโลดไหลไปในชีวิต อันไม่มีที่สิ้นสุด


..........

เมฆบ้า ณ ทุกแห่ง

Thursday, March 22, 2007

เกมส์กดปุ่ม


เกมส์กดปุ่ม

เกมส์นี้มีชื่อว่า เกมส์กดปุ่ม

กด หนึ่ง ยิ้ม

กด สอง ยิ้มหวาน

กดสาม หัวเราะ

กด สี่ เฉยๆ

กด ห้า ไม่พอใจ

กด หก โกรธ

กด เจ็ด หัวฟัดหัวหวี่ยง

กด แปด มีเรื่อง

กด เก้า พอแล้ว

กด สิบ รักนะ

กด สิบเอ็ด คิดถึง

กด สิบสอง ขอจับมือหน่อย

กด สิบสาม จูบ

กด สิบสี่ ต่อจากจูบ

กด สิบห้า ประชาธิปไตย

กด สิบหก ทากกกกกกษิณ ออกไป

กด สิบเจ็ด คมช.เฮงซวย

กด สิบเก้า รัก Rain

กด ยี่สิบ ห้อยจตุคามรามเทพ

กด ยี่สิบเอ็ด เหนื่อยจัง

กด ยี่สิบสอง คิดถึงบ้าน

กด ยี่สิบสาม ขอให้ถูกหวย

..............

ถ้าเบื่อ ก็เลิกเล่น

บอกว่าเลิกเล่น ยังกดปุ่มอยู่ได้

ใครช่วยเอาปุ่มออกที

ได้ ได้ ถ้าจะกด กด หนึ่ง ให้ที

กด สองให้ด้วย

ที่รัก กด สิบ ให้ทีสิจ๊ะ แล้วฉันจะกด สิบ ให้เธอ ตอบแทน


..............

เกมส์นี้มีชื่อว่าอะไร

เกมส์ที่เราไม่อยากเล่น ก็ต้องเล่น

เกมส์ที่ถึงเราอยากเล่น แต่ไม่อาจรู้ได้ว่า ปุ่มใดจะถูกกด

เกมส์ที่คนนิยมเล่นกันทั่วโลก อย่างต่อเนื่องและยาวนาน

เกมส์นี้ ไม่มีโฆษณา

มัน คือ เกมส์ กดปุ่ม

.............

กดสิบสาม นะจ๊ะ ที่รัก

...........

เมฆบ้า กดปุ่ม

Thursday, March 15, 2007

กลมๆเล็กๆ


กลมๆเล็กๆ

โลกกลมๆ ใบเล็กๆ ในความมืดอันกว้างใหญ่

โลกกลมๆ มีชั้นบรรยากาศกลมๆห่ออยู่

ในนั้น มีแผ่นดินเล็กๆ ที่เรียก มหาทวีป
ภูเขาเล็กๆ ที่เรียก มหาบรรพต
ทะเลเล็กๆ ที่เรียก มหาสมุทร
แม่น้ำเล็กๆ ที่เรียก มหานที
ตรงหัวจุกกลม มีก้อนน้ำแข็งเกาะอยู่
มีหมีขาวตัวอ้วนนอนเล่นอยู่ด้วย
หมีเล็กๆ

เมื่อมองกลับมา เห็นดวงดาวมากมายในความมืด
ปูเสฉวนวิ่งบนหาดทรายฉาบด้วยแสงดาว
รอยเท้าที่เคยปรากฏหายไปแล้ว เพราะฟองคลื่น

โลกกลมๆ ใบเล็กๆ มีดวงจันทร์เล็กๆอยู่ข้างๆ
ดวงจันทร์หน้านวลเชียวนะ
โลกกลมๆ กับดวงจันทร์หน้านวล วิ่งวนกันไปมา
ถ้ามีใครเปิดเพลงก็คงทำให้บรรยากาศในระบบสุริยะเล็กๆดูครึกครื้นขึ้น
ว่าไหมท่านดวงอาทิตย์

โลกกลมๆใบเล็กๆ มีคนเล็กๆ หมาเล็กๆ แมวเล็กๆ หมีเล็กๆ ปลาเล็กๆ เต็มไปหมด
ในคนเล็กๆ มีหัวใจเล็กๆ ซึ่งมีไอระเหย เล็กๆ พวยพุ่งไม่หยุดหย่อน
ไอระเหยเล็กๆ นำไปสู่เรื่องเล็กๆมากมาย
การเมืองเล็กๆ ความปราถนาเล็กๆ วรรณกรรมเล็กๆ
เศรษฐกิจเล็กๆ สงครามเล็กๆ ความตายเล็กๆ
น้ำตาเล็กๆ

นั่นเป็นไอระเหยในหัวใจกลมๆเล็กๆ ที่มีอยู่มากมายในโลก กลมๆ เล็กๆ

ในโลกกลมๆ เล็กๆ มีคนเล็กๆ ยืนหายใจอยู่บนนั้น
บางทีเขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นแค่คนเล็กๆในโลกกลมๆ เล็กๆ
ไอระเหยเล็กๆ บดบังดวงตากลมๆเล็กๆ ของเขาอยู่กระมัง

โลกกลมๆ ใบเล็กๆ หมุนอยู่ และยังหมุนอยู่ต่อไป

ในจักรวาลเล็กๆ

หากเพียงคนเล็กๆ เห็นความ กลมๆ เล็กๆ

โลกกลมๆเล็กๆ คงน่าอภิรมย์มิใช่น้อย

...........

เมฆบ้า กลมๆ เล็กๆ

Saturday, March 10, 2007

กรุงรัตนโกสินทร์กำลังล่มสลาย...


กรุงรัตนโกสินทร์กำลังล่มสลาย ผ่านความตายท่ามกลางกลิ่นอายของยาหอม



หากคนไทยเพ่งพินิจข่าวสารต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศของเรา ทั้งข่าวความพยายามในการผลักดันการเจรจาการค้า FTA ไทย ญี่ปุ่น การประกาศขยายสาขาของร้านสะดวกซื้อในปี ๒๕๕๐ อีกห้าพันสาขาทั่วประเทศ การชุมนุมประท้วงของกลุ่มค้าปลีก การขยายตัวของร้านซูเปอร์สโตร์ทั่วพื้นที่ประเทศไทย การลักลอบจดสิทธิบัตรมะละกอไทย การแย่งยึดโครงข่ายโทรคมนาคมไทย การถือสัมปทานโทรคมนาคมโดยกลุ่มทุนต่างด้าว ความพยายามในการเดินหน้าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ความพยายามในการดำเนินโครงการสัมปทานเหมืองโพแทสที่ โนนสูง อุดรธานี การเข้ายึดที่ดินของเกษตรกรที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวในภาคอีสาน

ข่าวสารที่กล่าวมา ล้วนเป็นประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศชาติ จนถึงขั้นที่อาจกล่าวได้ว่า ข่าวสารทั้งหมดล้วนส่อแสดงถึงภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่กรุงรัตนโกสินทร์เคยเผชิญภายหลังจากยุคแห่งการไล่ล่าอาณานิคม ซึ่งในครั้งนั้น พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงพระปรีชาสามารถนำพาประเทศชาติรอดพ้นภัยพิบัติจากการตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งได้อย่างสวยงาม

เมื่อกลับมามองข่าวสารต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดจะพบว่า ประเทศไทยเรากำลังเผชิญกับปัญหาที่กินลึกทั้งจากตัวโครงสร้างภายในประเทศ และบริบทแวดล้อม โดยในบรรดาเหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมามี ธาตุแท้ที่สถิตอยู่ภายใน ทั้งสิ้น สามประการ คือ

หนึ่ง ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยคุกคามร้ายแรงจากระบอบทุนสามานย์ในการมีอิทธิพลเหนืออำนาจอธิปไตยที่มีไว้เพื่อปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

สอง ผู้ปกครองประเทศ ขาดความรู้ความเข้าใจและไม่เอาใจใส่ต่อภัยคุกคามจากระบอบทุนสามานย์

สาม ขบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนไม่มีพลังเพียงพอในการขับเคลื่อนสังคมเพื่อข้ามพ้นภัยคุกคามร้ายแรงได้

จากธาตุแท้ ทั้งสามประการอาจกล่าวสรุปได้ว่า “กรุงรัตนโกสินทร์กำลังเผชิญหน้ากับการล่าอาณานิคมครั้งยิ่งใหญ่ที่หนักหนาสาหัสกว่าครั้งก่อนเสียอีก” ความยิ่งใหญ่ของมันถึงขั้นที่คนไทยส่วนใหญ่อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังเผชิญหน้าอยู่กับมัน หรือหลายคนทำนิ่งเสีย ด้วยการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ สภาพเช่นนี้ไม่ต่างจากสภาพเหตุการณ์บ้านเมือง ภายในกำแพงพระนครศรีอยุธยา ในวันที่พม่ากำลังส่งกองกำลังเข้าโจมตีอย่างหนักหนาสาหัส

เค้าลางแห่งความล่มสลายดังกล่าวได้ปรากฏชัดแล้ว จากความเคลื่อนไหวเล็กๆของนักวิชาการบางท่าน เช่น ดร.ไสว บุญมา ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “สู่จุดจบประเทศไทย” เป็นดอกไม้จันท์วางบนเชิงตะกอนไว้เรียบร้อยแล้ว หรือ นักวิชาการผู้ผ่านร้อนหนาวผ่านหนาวมาเนิ่นนานอย่าง ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ กำลังใช้ความพยายามเพื่อยื้อชีวิตของประเทศไทยที่ลมหายใจรวยรินให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยแนวทาง “ราชประชาสมาสัย”

ทำไมผมจึงกล้ากล่าวว่า “กรุงรัตนโกสินทร์กำลังล่มสลาย” การจะทำความเข้าใจประเด็นข้อนี้ คงต้องย้อนหลังกลับไปตั้งต้นที่ธาตุแท้ของปัญหาทั้งสามประการ

หนึ่ง ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยคุกคามร้ายแรงจากระบอบทุนสามานย์ในการมีอิทธิพลเหนืออำนาจอธิปไตยที่มีไว้เพื่อปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

ระบอบทุนสามานย์มีกองทัพสำคัญสามทัพ

กองทัพแรก คือ กองทัพข้อมูลข่าวสาร ที่เดินทัพผ่านระบบการศึกษา สื่อสาธารณะและสื่อส่วนบุคคลอย่าง อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ ทัพนี้มีหน้าที่ทำให้ข้าศึกยอมสยบด้วยการมอมเมาเชิงวัฒนธรรม ทั้งการศึกษาวิชาการแขนงต่าง ภาพยนตร์ เพลง มิวสิควีดีโอ โฆษณาสินค้า ภายใต้ปรัชญาของกองทัพที่ว่า “หากเปลี่ยนจิตวิญญาณได้ แขนขา องคาพยพ ย่อมทำงาน” หรือตามที่ซุนวูกล่าวไว้ว่า “ทำให้ข้าศึกยอมสยบเป็นยอด ต้องโจมตีข้าศึกป็นรอง”

กองทัพที่สอง คือ กองทัพคู่ ระหว่าง กองทัพทุนที่สั่งสมไว้ตั้งแต่ยุคล่าเมืองขึ้น และกองทัพกฎหมาย กองทัพกฎหมายมีหน้าที่รับใช้แนวความคิดเสรีนิยมสกุล นีโอ ริเบอรัล ที่ถูกแปลงร่างเป็นฉันทามติวอชิงตันอันหมายถึง ลัทธิ นีโอ โคโลเนี่ยล (ลัทธิล่าเมืองขึ้นใหม่) กองทัพทางกฎหมายช่วยปูทางให้เกิดกระบวนการจัดทำข้อตกลงระหว่างประเทศทั้งแบบพหุภาคี และทวิภาคี (FTA) หรือกระทั่งส่งอิทธิพลเข้าเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมายภายในประเทศ เช่นกรณีกฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายว่าด้วยใช้และเชื่อมโยงโครงข่ายโทรคมนาคม ทั้งหมดเพื่อปูทางให้กองทัพทุนจากประเทศต่างๆเข้ามาดูดซับทรัพยากรของประเทศอื่น ผ่านตลาดหลักทรัพย์โดยผิดกฎหมาย

ทัพสาม คือ กองทัพแสนยานุภาพ อันได้แก่กองกำลังติดอาวุธชนิดต่างๆ เช่นในกรณีที่อเมริกาส่งกองกำลังเข้าไปในอิรัก หรือในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งมีเป้าประสงค์สำคัญในการยึดกุมจุดยุทธศาสตร์ทางทรัพยากรเพื่อดำรงความมั่งคั่งจอมปลอมของประเทศตนต่อไป

สอง ผู้ปกครองประเทศ ขาดความรู้ความเข้าใจและไม่เอาใจใส่ต่อภัยคุกคามจากระบอบทุนสามานย์

กองทัพสองกองทัพแรกของลัทธิล่าเมืองขึ้นใหม่ ได้คืบคลานเข้ายึดพื้นที่ของประเทศไทย เกือบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว โดยไม่ต้องใช้กองทัพแสนยานุภาพทางทหารแต่ประการใด ทั้งนี้เนื่องจาก ผู้ปกครองประเทศในหลายยุค หลายสมัย ขาดความเข้าใจในการต่อสู้กับกองทัพนักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุครัฐบาลทักษิณ นอกจากจะไม่ต่อสู้แล้ว ยังฉกฉวยโอกาสดังกล่าวเพื่อตักตวงทรัพยากรของประเทศชาติประชาชนแบบผสมโรง จนกระทั่งเกิดการชุมนุมเคลื่อนไหวจนนำไปสู่การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายนที่ผ่านมา

คณะ คปค.ที่แปลงร่างเป็น คมช.ได้ขึ้นมากุมสภาพการปกครองประเทศไทย บรรยากาศในช่วงแรก หากเปรียบสังคมไทยเป็นคนป่วยใกล้ตายด้วยโรคร้าย คปค.ก็เปรียบเสมือนยาหอม ที่คนเฒ่าคนแก่ ชอบใช้ เป็นยาสามัญประจำทุกโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรคนไทยโบราณมักใช้ยาหอมเป็นยาครอบจักรวาล ช่วยให้มีกำลังวังชา หอมอบอวล พอทุเลาโรค

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภัยคุกคามหรือโรคร้ายจากระบอบทุน นักล่าเมืองขึ้นก็ยังสำแดงอาการอยูไม่หยุดหย่อน ในขณะที่กลิ่นยาหอมก็เริ่มบรรเทาเบาบางลง พร้อมกับกลิ่นเน่าเหม็นจากสังขารประเทศเริ่มส่งกลิ่นโชยออกมา จากเหตุการณ์ความเดือดร้อนต่างๆที่ได้กล่าวไปแล้วในช่วงต้น
การใช้ยาหอมในการรักษาโรคร้าย กระทั่งการดันทุรังกินของแสลง นานาชนิด แสดงออกอย่างชัดเจนถึง การขาดความรู้ความเข้าใจและไม่เอาใจใส่ต่อภัยคุกคามจากระบอบทุนสามานย์ มิติการมองปัญหาของทหารคงไม่สามารถนำมาใช้ได้กับกองทัพและเส้นทางเดินทัพของข้าศึกในยุคโลกาภิวัตน์เป็นแน่แท้

ด้วยเหตุนี้ ระบอบทุนสามานย์จึงสามารถสถาปนากองทัพข้อมูลข่าวสาร เผยแพร่วิถีบริโภค มอมเมาประชาชน และเยาวชนจนเหลวแหลก กองทัพกฎหมายและทุน สามารถสถาปนาสถานีการค้าสะดวกซื้อ แทบจะทุกทั่วหัวระแหง ไม่ต่างจาก บริษัท อีสอินเดียในอดีต ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศทาสเกือบจะสิ้นเชิง

สาม ขบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนไม่มีพลังเพียงพอในการขับเคลื่อนสังคมเพื่อข้ามพ้นภัยคุกคามร้ายแรงได้

สถานการณ์ประเทศไทยในปี ๒๕๔๙ ที่มีพลวัตขับเคลื่อนอำนาจรัฐให้ตกอยู่ในมือของ คมช. ล้วนมีที่มาจากความเคลื่อนไหวของประชาชน ในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีเป้าหมายหลักในการกดดันให้นายทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

เมื่อเกิดการรัฐประหารกระบวนการเหล่านี้ก็สะดุดหยุดลง พลังประชาชนก็แยกสลาย สถานการณ์ในภาคประชาชนกลับกลายเป็นการผลุบโผล่ของคลื่นใต้น้ำ คลื่นบนดิน ที่ต่อต้าน คมช. ในขณะที่พลังประชาชนพันธมิตรฯต้องตั้งสงบเพราะเกรงสถานการณ์จะบานปลาย กลายเป็นการปะทะ ด้วยเหตุนี้ สภาพของกองกำลังประชาชนจึงตกอยู่ในสภาพที่ต้องเคลื่อนไหวผ่านสื่อสาธารณะที่ยังจำกัดวงแคบ และไม่มีพลังเพียงพอ

ความไม่มีพลังเพียงพอดังกล่าวหมายถึง ความไม่มีพลังเพียงพอในการเข้าเปลี่ยนแปลงสภาพของอำนาจอธิปไตยให้สามารถสู้รบปรบมือกองทัพทุนนิยมนักล่าเมืองขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ กองทัพทุนนิยม จึงยังคงเดินหน้าเข้ารุกรานอำนาจอธิปไตยของประเทศชาติ ผ่านระบบข้อมูลข่าวสาร ผ่านตัวบทกฎหมาย ผ่านการประนีประนอมกับอำนาจรัฐอย่างไม่หยุดหย่อน และนั่น คือดัชนีชี้วัดว่า ภูมิคุ้มกันของประเทศไม่อาจเข้าไปเยียวยารักษาสังขารประเทศที่กำลังดมยาหอมได้ทันท่วงที เมื่อเป็นเช่นนั้น หายนะของประเทศไทยในนามกรุงรัตนโกสินทร์คงต้องเดินหน้าสู่ความล่มสลายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

สังขารประเทศไทยกำลังเผชิญโรคภัยขั้นรุนแรง ความดำรงอยู่ของประเทศชาติกำลังถูกทุบทำลายอย่างหนักหน่วงจากทุนนิยมสามานย์ และลัทธิล่าอาณานิคมใหม่ การแก้ปัญหาประเทศชาติของ คมช. รัฐบาล สนช.เป็นเพียงยาหอมครอบจักรวาล ที่ไม่อาจเยียวยารักษาประเทศนี้ได้

ประเทศไทยในนามกรุงรัตนโกสินทร์กำลังต้องยาขนานเอก คือ การปฏิรูปขนานใหญ่ โดยมีเงื่อนไข คือ การปฏิวัติประชาชน

โจทย์ข้อสำคัญ คือ

เราจะร่วมกันสร้างเงื่อนไขดังกล่าวได้อย่างไร เมื่อกลิ่นยาหอมยังคงตลบอบอวลอยู่เช่นนี้ !

..........
ตีพิมพ์ใน หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ราวๆเดือนมกราคม