Sunday, December 23, 2007

23 ธค.อำลาปีศาจ




และแล้วก็ได้เวลาอำลาอย่างแท้จริง
เวลาที่ต้องกล่าวคำอำลาต่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
อำลาเพื่อเดินหน้าสู่ระบอบบการปกครองแบบเลือกตั้ง

ระบอบการเลือกตั้ง พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ ของชนชาวไทย

วันนี้ ผมไม่ทำอะไร
นอกจากนอน
ไม่ไปเลือกตั้ง
ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น
งานใหญ่ที่สุดของวันนี้ คือ นั่งเขียนบล็อกตอนนี้

สำหรับการเมือง ยุ่งขิง
เมื่อหมดหน้าที่ ก็ต้องละวาง
บ้านเมืองเรามันได้เท่านี้

ขอให้โชคดี
สำหรับเหล่าทหารหนุ่มผลัดใหม่
ไม่ว่าจะมีอาชีพใดก็ตาม
หากท่านคิดจะรบเพื่อชาติต่อไปภายหน้า
ขอให้ท่านโชคดีในสงคราม


.......

ทหารแก่ ไม่มีตาย

Monday, December 17, 2007

ที่ที่เราจะหย่อนเท้าลงหยัดยืน



มันเหมือนกับว่านานมาแล้ว
ข้าพเจ้าจำได้ดี ถึงวันที่โลกหมุนคว้าง
เมื่อแม่ของข้าพเจ้า ได้ส่งข้าพเจ้าออกมาสู่โลก
ข้าพเจ้าร้องไห้ ในวัยนั้น ข้าพเจ้าทำได้ดีที่สุดแค่นั้น
ดีที่สุด คือการหลบเร้น เรือนกาย เพื่อซ่อนน้ำที่ไหลจากตาดวงน้อย

มันเหมือนกับว่า ท่านค่อยๆหยั่งเท้าลงบนน้ำลึกริมตลิ่ง โดยที่ท่านไม่รู้ว่ามันลึกประมาณใด
ความรู้สึก ที่ ข้าพเจ้าไม่มีแม้โอกาสจะหยั้งทราบล่วงหน้าได้ ถึงความลึกแห่งมัน
พอรู้ตัวอีกทีข้าพเจ้าก็ตกลงไปสู่ห้วงของชีวิต ที่สุดยากจะหาที่เท้าหยัดเพื่อยืนได้อย่างมั่นคงและเป็นสุข

แน่นอนที่สุดทั้งหมดทั้งมวลย่อมหล่อหลวมเป็นข้าพเจ้า อย่างที่เป็น
อย่างที่เป็น แท้จริง มันคือตัวข้าพเจ้าจริงหรือ
หรือมันเป็นเพียงประสบการณ์ที่เยียดยัดอยู่ในจิตใจเท่านั้นกระมัง

ในบรรดาประสบการณ์ของ คน แน่นอนที่สุด
ความสุข เป็นสิ่งที่ คน ดิ้นรนค้นคว้า
ความสุขเป็นที่เหยียบยืน ที่เหยียบยืนชั่วคราวให้กับชีวิตในแต่ละขณะ
แค่แต่ละขณะ ข้าพเจ้า เห็นเช่นนั้น

ใครหลายคน อาจกำลังโกยกอบแกมสำลัก
ใครหลายคนอาจกำลังเกยก่าย จุมพิต และดูดดื่มกับรสแห่งมัน
และหากไปไกลกว่านั้น ใครหลายคนอาจเที่ยวป่าวประกาศ ว่าการให้คือความสุขต่อทั้งตนเองและผู้อื่น
แต่สำหรับข้าพเจ้า มันเป็นเพียงอาการดิ้นรน เพื่อหาที่เหยียบยืนในโลกอันหมุนคว้างกลางจักรวาลแห่งจิตใจอันร้อนทุรณ

สำหรับข้าพเจ้า เสรีภาพ เสรีภาพ และเสรีภาพ
เสรีภาพ จากความเป็นอันสิ่งอื่นยัดเยียดให้ข้าพเจ้า
คือเป้าหมาย
เสรีภาพ เสรีภาพ เสรีภาพ จากการครอบงำทั้งหมด ทั้งมวล
คือที่เหยียบยืน

ในบางที ท่านอาจจะต้องพลัดตกลงสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของชีวิตเสียก่อน
จึงจะหยั่งทราบทิศทางของท้องฟ้า
เพื่อทะลึ่งตนเองขึ้นสูดอากาศ และความสดใสของชีวิต

ณ ที่นั้น ท่านจะพบที่หยัดยืนของชีวิต อันเปลือยเปล่า
และกระทั่งวีรกรรม ของ บรรดานักบุญ ก็เป็นเพียงเรื่องตลกขบขัน
เอาไว้เล่าเป็นนิทานปลอบใจ สำหรับผู้ที่ชอบนอนหลับแล้วฝันร้ายในชีวิตอยู่เสมอๆ

เพราะชีวิต
ชีวิตที่เชื่อมร้อยกับมหาจักรวาลอันไร้ที่หยัดยืน คือ ความสุข สันติ
ก็ด้วยเหตุที่มันยืนหยัดอยู่นับ อนันตกาล มิใช่หรือ

Thursday, December 06, 2007

เรื่อยๆ หมายเลข ๑


คว้างเคว้งเครงคลอนตะลอนฟ้า
เรื่อยลมแรงราราร่าเริงลิ่ว
ฟ่อนฟางฟอนไฟใบไม้โปรยปลิว
สะบัดสะบิ้งฉิวฉุยฉายปรายปรีดิ์

ดอกแม่ดอกไม้ไกวกลีบไหวลู่
เงาแสงสู่อยู่ม่านเมฆเสกแสงสี
ส่องมาไล้โลมใบเบาเคลียเคล้าคลี
ก่อนเคลื่อนคลี่คลายฟ่อนฟ้ามาเรียงๆ

ฟ่อนฟ้าฟ่อนเมฆปุยราวขาวเขื่อง
มาเล่าเรื่องรุ่มรวยแต่ไร้เสียง
มาเรียงร้อยสัจจะไร้สำเนียง
มาเดินเล่นราวระเบียงบันไดฟ้า

...........

เขียนตอนรู้สึกเรื่อยๆ
.........

Tuesday, November 13, 2007

ความรักทำให้*แข็งแรง


ใครหลายคนที่เคยเจ็บปวด อาจถอยหนีจากมันไป
นอกจากถอยหนี ยังกล่าวโทษ
และหาวิธีปกป้องตนเองจากความเจ็บปวด
ความเจ็บปวด จากความรัก

สำหรับ * * เห็นว่า ความรักที่แท้ไม่ทำให้เราเจ็บปวด
สิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวด เท่าที่ * สังเกต มักเป็นสิ่งอื่น
สิ่งอื่นที่ไม่ใช่ความรัก

* กล่าวได้ว่า * มีความรัก
เมื่อความรักมาถึงหัวใจของ*
และมันยังอยู่ที่นั่น
และเมื่อความรักมาถึงหัวใจของใคร
ใครก็จะมีความสุขขึ้นมาทันที

ความรักไม่ได้อยู่ภายนอก
ไม่ได้เป็นดินแดน หรือบุคคลใด
ให้เราต้องแสวงหา

*เห็นว่า ในโลกมีคนตามหาความรักอยู่มากมาย
มีคนร้องขอความรักอยู่มากโข

ปัญหาก็คือว่า เมื่อในโลกมีแต่ขอทาน
การให้ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ในขณะที่เราเทิดทูนความรัก และร่ำร้องถึงมัน
โดยไม่รู้ว่าความรักแท้ๆอาจมาถึงในดวงใจของเราทุกคน
หลายครั้ง ทำให้เราพลาดโมงยามแห่งปัจจุบัน
หรือกระทั่งมองข้ามคนที่กำลังทุกข์ทนอันหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเรา

ความหิวโหย นับล้านครั้ง
น้ำตา นับล้านปื้น
เสียงโหยไห้ นับล้านครั้ง ล้านสำเนียง

และกี่ล้านครั้ง ที่สิ่งเหล่านี้ถูกมองข้าม
เพียงเพราะเรามองข้ามความรักในหัวใจของตนเอง

.............

*ผ่านความรักมานับล้านครั้ง
และหลายครั้งที่อาจจะดูโง่ในสายตาของนักคำนวณ

เมื่อสิ่งอื่นที่มิใช่ความรักสูญหายไปเป็นอันมาก
ความรักก็กลับเด่นชัดขึ้น และทำให้*รู้สึกคึกคักแข็งแรงกว่าเก่า

*มีความสุข เพราะมีความรัก
และเมื่อคนที่เรารัก รักด้วยความเข้าใจที่มีอยู่ทั้งหมดทั้งมวล
เมื่อ* รู้ว่าเธอมีความสุข ความรักก็ตอบแทน*ด้วยความปีติ

ที่รัก * ขอบคุณเธอ ที่นำความรักมาสู่*
ความรักที่ทำให้* รู้สึกแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง

.............

เนื่องในวาระสิบปี ที่* รักใครคนหนึ่งได้อย่างแท้จริง
และในวาระล้านๆ ปีที่ความรักยังคงสำแดงอานุภาพแห่งมัน

Thursday, November 01, 2007

People's Casanova


Giocomo Casanova นักรักบันลือโลก
เขาเป็นนักรัก ข้าพเจ้าหมายถึงเขาชื่นชมในความงาม
ความงามแห่ง สตรี แห่งเวนิส

...........

ในบรรดา การสร้างสรรค์ โดยการสอดประสานมนุษย์ให้อยู่ในโลกใบนี้
การถักสาน Sensations ของมนุษย์ ระหว่าง เพศ
เป็นการถักสาน ที่เหนียวหนึบและทรงอานุภาพยิ่ง

Giocomo เจ้าคือผู้แพ้พ่ายต่อแรงถักสาน โดยสิ้นเชิง
Giocomo แสนเจ้าชู้ เขาคือผู้แสวงหา
และชื่นชมความงาม ในสนามพลังแห่งรักอันยิ่งใหญ่

สนามพลังที่เป็นดั่งเกลียวคลืน
ให้เขาได้โลดไหล เหวี่ยงไขว และสำลัก

ใครกันที่ชอบแอบมองความงามของดวงตาคู่นั้น
ใครกันที่ปล่อยให้คิ้วสวยมาปาดคอและใจจนขาด
ใครกันที่ปล่อยให้ริมฝีปากอิ่มงามเป็นดั่งธรณีสูบ

ถ้าไม่ใช่เจ้า Giocomo !

.................

ณ ขณะที่ข้าพเจ้าย้อนรำลึกถึงช่วงแห่งสงคราม
ในสนามพลังอันหนักหน่วง

ข้าพเจ้านึกถึง Giocomo Casanova หลายคนด้วยกัน
บางคนเป็น ชาย บางคนเป็นหญิง

เขาทั้งหลายที่ไม่เอ่ยนาม
แท้จริง

คือ จอมเจ้าชู้ของประชาชน

................

Casanova Casanova Casanova !

Thursday, October 18, 2007

A Time to Say Goodbye




A Time to Say Goodbye

Sarah Brightman & Andrea Boccelii

Quando sono solo
sogno all'orizzonte
e mancan le parole
si lo so che non c'e luce
in una stanza quando manca il sole
se non ci sei tu con me, con me
su le finestre
mostra a tutti il mio cuore
che hai acceso
chiudi dentro me
la luce che
hai incontrato per strada

Time to say goodbye (Con te partiro)
paesi che non ho mai
veduto e vissuto con te
adesso si li vivro
con te partiro
su navi per mari
che io lo so
no no non esistono piu
it's time to say goodbye (con te io li vivro)

Quando sei lontana
sogno all'orizzonte
e mancan le parole
e io si lo so
che sei con me con me
tu mia luna tu sei qui con me
mia solo tu sei qui con me
con me con me con me

Time to say goodbye (Con te partiro)
paesi che non ho mai
veduto e vissuto con te
adesso si li vivro
con te partiro
su navi per mari
che io lo so
no no non esistono piu
con te io li vivro
Con te partiro
su navi per mari
che io lo so
no no non esistono piu
con te io li vivro
Con te partiro

................

When I'm alone
I dream of the horizon
and words fail me
There is no light
in a room where there is no sun
and there is no sun if you're not here with me, with me
From every window
unfurl my heart
the heart that you have won
Into me you've poured the light
the light that you found by the side of the road

Time to say goodbye
Places that I've never seen or
experienced with you
now I shall
I'll sail with you
upon ships across the seas
seas that exist no more
I'll revive them with you


When you're far away
I dream of the horizon
and words fail me
and of course I know that you're with me, with me
you, my moon, you are with me
my sun, you're here with me
with me, with me, with me

Time to say goodbye
Places that I've never seen or
experienced with you
now I shall
I'll sail with you
upon ships across the seas
seas that exist no more
I'll revive them with you

I'll go with you
upon ships across the seas
seas that exist no more
I'll revive them with you
I'll go with you.
I'll go with you.

................

มีเพลงอยู่ไม่มากนักที่ผมประทับใจ
บางทีเราอาจประทับใจเพลงใด เพลงหนึ่ง ด้วยหลายสาเหตุ

สาเหตุที่ประทับใจอาจจะมาจาก
เสียงของนักร้อง
หน้าตาของนักร้อง
เนื้อร้อง ความหมาย
ดนตรี

กระทั่ง เหตุการณ์แวดล้อมของตัวผู้ฟังเอง

...............

A Time to Say Goodbye
น่าประทับใจอย่างยิ่ง

เนื้อเพลงเพราะ เศร้า ลึก แหลม บาดใจ

ยิ่งมีนักร้องระดับพระกาฬ อย่าง Boccelli
Tenor ตาบอด มาขับขาน ยิ่งสุดยอด

พูดถึง Boccelli ผมว่าเขาเป็นคนตาบอดที่หล่อที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น
แกตาบอดจริง ไม่ได้บอดเพราะความรักนะจ๊ะ
เอาเข้าจริงลึกๆผมชอบ Bocelli มากกว่า Pavarotti ผู้ล่วงลับเสียอีก

แต่อีกคนนี่ซิ
นักร้องหญิง ขวัญใจตลอดกาลของผม
She is Sarah Brightman !
สวย มีเสน่ห์
กล่องเสียงของเธอ เจียระไนจากคริสตัลเนื้อดี

ฟัง Sarah Brightman
เหมือนมีนางฟ้า มาขับขานเพลงแห่งสรวงสวรรค์

แล้วใครเลยจะอยากจากเธอไป
นางฟ้า Sarah

.........

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับเสียงดนตรี
ที่ Crazy Rama หรือ คลิกไปที่
http://www.youtube.com/watch?v=BLHq7rgHOLk

Monday, October 15, 2007

Chill Meditation



ยุคสมัยแห่งความสับสน สมาธิเป็นการผ่อนกายคลายร่าง ล้างอัตตาได้ชะงัด
แต่การนั่งสมาธิสำหรับผู้เริ่มต้น ดูจะอึดอัดสักหน่อย เพราะความคิดจะฟุ้งซ่าน
หรือไม่ก็พยายามกดข่มความคิดจนอึดอัด นั่งต่อไม่ได้
การนั่งที่ถูก คือ เวลาฟุ้งซ่าน ก็รู้ฟุ้งซ่าน
เวลากดข่มก็รู้ว่ากดข่ม

การนั่งสมาธิจึงมิใช่ทั้ง ฟุ้งซ่าน และกดข่ม
แต่คือการเข้าไปเห็นอารมณ์ความรู้สึกของตน ในหัวใจ
ที่เกิดดับ เกิดดับ วกไปวนมา และนำความรู้สึกต่างๆมาสู่ตัวเรา
แค่เข้าไปเห็นก็เกินพอแล้ว

เวลาผมนั่งสมาธิ ผมมักใช่ของเล่นหรือเครื่องจูงใจ
ทำให้เกิดบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และช่วยชักจูงให้เข้าสู่สมาธิได้ไว

ก่อนอื่น ต้องมีอุปกรณ์ ชิ้นแรก เชิงเทียน


ผมซื้อ จานแบบญี่ปุ่ณ สองใบ มาทำเชิงเทียน
ใบใหญ่ 160 บาท ใบเล็ก 120 บาท ซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป
ส่วนเทียนนั้น ผมนิยมใช่เทียนหอมกลิ่นมะลิ หอมพอสมควรแก่เหตุ


ชิ้นที่สอง อันนี้ชอบมาก กำยาน

กำยานดีๆ หอมๆ ต้องมาจากอินเดีย
กำยานอินเดีย หาซื้อได้ตาม พาหุรัด และสวนจตุจักร
เลือกกลิ่นตามใจชอบ ขอบอกว่า หอมอร่อยจริงๆ
อย่างในรูป กล่องละ 35 บาท 3 กล่องร้อย


ชิ้นที่สาม เพิ่มดนตรี เข้าไปหน่อย จะได้บรรยากาศยิ่ง


ดนตรีที่ผมชอบเปิดขณะนั่งสมาธิ คือ ซีต้าบรรเลง
โดยเฉพาะ ผลงานของ Ravi Shankar ซีต้าลิส ชาวอินเดีย
มือกีต้าร์ตะวันตก อย่างเช่น โจ แซทรีนี่ และอีกหลายๆคนต่างปาวรนาตัวเป็นลูกศิษย์ของ Shankar

ลองฟัง ซีต้ากันดู เพราะเปิดแสดงแล้วที่ Crazy Rama ด้านขวามือของท่าน


บรรยากาศแบบ Chill Chill



แท่นบูชาพระของผมเอง ขนาดมินิคอกเทล
องค์ประธาน คือ หลวงพ่อพระใส แห่งหนองคาย
อันนี้ลูกศิษย์นิติศาสตร์ที่ ม.ขอนแก่น วิทยาเขต หนองคาย ให้มา

ลองทำกันดู
ปรับแต่งตามสไตล์ของท่าน ตามใจชอบ
ที่แน่ๆ
ได้ทั้งภาพที่สงบอบอุ่นของแสงเทียน
กลิ่นหอมๆของกำยานที่ปรุงจากดอกไม้
เสียงคีตาบรรเลงเพราะๆจากซีต้า
ที่สำคัญ ได้ความสงบสบายใจ อย่างล้ำลึก

..............

ผมเรียก Mini set นี้ว่า
Chill Meditation ครับ



..............

ธรรมรักษา ทุกท่าน

Wednesday, October 10, 2007

ปัญญานันทะ มรณภาพ


ปัญ ญาทิพยแก้ว กาลวิสุทธิ์
ญา ณทัศนะวิมุติ วิเศษสมัย
นัน ทกว้างหมดมวล เกริกจักรวาลไกร
ทะ แกล้วหาญเร่งรบไล่ กิเลสเพลิง

รณานุสติ วิโมกขพลา
วีรุ่งส่องหล้า ฟ้าสะเทิ้น
ท้องทุ่งธรรมะ ก็รำเริง
ภาพ ฉากเพลิงก็ไหม้มอด กอดนิพพาน

..........

เมฆบ้า คารวะ

Thursday, October 04, 2007

ใบไม้แห่งเสรี


บ้านพักท่านอาจารย์เสรีร่มรื่นเป็นอย่างยิ่ง
ท่านชอบปลูกต้นไม้ ปลูกเต็มไปหมด
จนบ้านร่มรื่น สบายตา สบายใจ
ผมเลยหยิบกล้องไปเดินเล่น
ได้ถ่ายรูป กิ่งไม้ และใบไม้
โดยปกติ ช่างภาพมักชอบถ่ายรูป ดอกไม้ นก หรือ แมลง ด้วยเลนส์มาโคร
แต่คราวนี้ผมลองใช้ เทเล ดึง ลวดลายของกิ่งก้าน และใบไม้ ที่ไม่ได้มีสีสันฉูดฉาดแบบดอกไม้
เป็นความท้าทาย
ซึ่งน่าพอใจทีเดียว
สำหรับผม





รูปนี้เห็นแล้วนึกถึงชายกระโปรงกรุยกรายของนารี เป็นลีลาของใบไม้



ใบกล้วย ต่างสี ล้อเล่นเส้นสาย



รูปนี้ ผมเห็นมันมีใบไม้ หลายชนิด ทั้งใบสด ใบแก่ และใบผุ เป็นความงามแบบเอกภาพ คือรวมความเป็นไปทั้งหมดไว้ในความงาม


รูปนี้ผมอัดภาพใหญ่ให้เจ้าของบ้าน ชื่อภาพ ใบไม้แห่งเสรี


บ้านพักของ อ.เสรี

Monday, October 01, 2007

Way to Hell Fire Pass


ผมไปเที่ยวเมืองกาญจน์มา สนุกดี
แวะไปที่ช่องเขาขาด
ซึ่งเป็นช่องหินที่ถูกเจาะยาวประมาณร้อยเมตร
ด้วยมือของทหารเชลย สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒
ลิ่มที่ใช้ตอกก่อประกายไฟขึ้น
ทหารที่ทุกข์ทรมานเลยเรียกชื่อช่องนี้ว่า
"ช่องไฟนรก" หรือ Hell Fire Pass

ทางเดินไปช่องเขาขาด ยาวประมาณห้าร้อยเมตร
เล่นเอาเหนื่อย เพราะขึ้นๆลงๆเขา แต่ยังไหว เพราะยังหนุ่มไม่แน่น

พื้นตรงทางเดินมี มอสขึ้น มีแสงส่องผ่านลำไผ่
เป็นแสงสีที่สวยดี
เลยถ่ายรูปมาให้ชมกัน








.........

ขอบพระคุณ ท่านอาจารย์เสรี วังส์ไพจิต อดีตผู้ว่า ททท.
และคณบดีคณะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ
ที่พาผมไปเที่ยวฟรี และได้ถ่ายภาพที่ผมชอบ

Thursday, September 27, 2007

The Last Tenor


The Last Tenor ลูซิโน่ ปาวารอตติ
เสียชีวิตมาหลายวันแล้ว
ปาวารอตติ เป็นนักร้องเสียงผ่าจักรวาลที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ
มีอีกท่านที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ คือ บ็อกเซลลี่ ศิลปิน Tenor ตาบอด

ข้าพเจ้า ขอไว้อาลัยแด่ศิลปิน
ผู้ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขเวลาเปิดแผ่นฟังในห้องแคบๆ
บางทีการฟัง Tenor ก็ทำให้ห้องแคบๆ กลายเป็นโรงมหรสพขนาดใหญ่ได้

ปาวารอตติ ทำได้ คุณลองไปซื้อแผ่นของเขามาฟังดู
แล้วจะรู้ว่า บางที แค่เสียงของใครคนหนึ่ง
ก็ทำให้คุณรู้สึกถึงความเมลื่องมลังอย่างไม่น่าเชื่อ

.............

ขอให้ ปาวารอตติ เดินทางสู่ บาร์โด ที่งดงาม
พร่างพราวด้วยดอกไม้ วงออเครสต้าอลังการ ในสวนสวรรค์
ข้าพเจ้าจะแอบฟังเสียงของท่านขับขานให้เกริกไปในจักรวาล

Monday, September 24, 2007

ชัมบาล่า ธิเบต และหัวใจแห่ง วาโป พาโร



ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนมีวิถีเป็นของตนเอง
บางครั้งวิถีของท่านอาจเกิดจากแรงเหนี่ยวนำทางสังคม
หรืออาจเกิดจากแรงเร่งเร้าอันลึกล้ำที่ซ่อนตัวอยู่ในดวงจิตของท่านเอง
ทั้งหมดเป็นความสัมพันธ์ของพลังงานแห่งเอกภพที่ควบคุมการดำรงอยู่ของ
สรรพสิ่ง ไม่เว้นกระทั่งหัวใจอ่อนๆของเรา

วิถีมีมากมาย หลากหลายประตูให้เราได้เดินผ่าน
เดินผ่านไปสู่บางสิ่งบางอย่าง ด้วยแรงขับดันอันสลับซับซ้อน
มันขึ้นอยู่กับว่า ท่านมีความกล้าหาญในการเดินตามวิถีเพียงใด

ในบรรดาวิถีที่ข้าพเจ้าชื่นชม อันมีวิถีแห่งปัญญา วิถีแห่งนักรัก
วิถีแห่งศิลปิน เป็นอาทิ
มีวิถีที่เกี่ยวพันกับสันดานของข้าพเจ้าอย่างที่สุด คือ วิถีแห่งนักรบ

วิถีแห่งนักรบ ย่อมหลีกไม่พ้นการเข้าโรมรันพันตูกับข้าศึก
และแน่นอนที่สุด สิ่งที่นักรบพึงปรารถนา คงหนี่ไม่พ้นชัยชนะ
และชัยชนะจะได้มาเห็นจะไม่ใชของง่าย ถ้าไม่มี กโลบาย หรือ กลยุทธ์
และเหนือสิ่งอื่นใด คือ หัวใจกล้าหาญ อันนี้ขาดไปไม่ได้
แน่นอนที่สุด ที่การรบ ก็ คือ การประกอบกรรมชนิดหนึ่ง
และ กรรม ก็มีทั้ง ฝ่าย บุญ ฝ่ายบาป
เมื่อถึงเวลาสิ่งที่นักรบ จะต้องรับ นอกจากชัยชนะ
ก็คือ หายนะภัยที่มีที่มาจาก กรรมของนักรบ ในสงครามอันไม่มีวันจบสิ้น

................

ในบรรดาวิถีแห่งนักรบ เราอาจพบวิถีทางย่อยๆมากมาย

วิถีแห่งซามูไร แบบ มิยาโมโตะ มุซาชิ
ที่ต่อมาผันตนจากนักดาบเป็นนักพรต กวี และศิลปิน

วิถีแห่งนักรบพาญาอินทรีอินเดียนแดง
ที่ผันตนจากนักรบถลกหนังศรีษะไปเป็นชนเผ่าที่รักสันติ

วิถีแห่งข่าน มองโกล
ที่ผันตนจากราชันนักรบ ไปเป็นวิถีมองโกลที่สงบสันติ

วิถีแห่ง ฮันนิบาลแห่งคาเธจ
ที่ผันตนจากขุนพลแอฟริกาเหนือผู้พิชิตโรมัน ไปเป็นวิถีเมดิเตอร์เร่เนียนแสนโรแมนติก

..................

ในบรรดาวิถีนักรบ ข้าพเจ้าอยากแนะนำให้ท่านรู้จักกับวิถีนักรบที่ยิ่งใหญ่
เป็นความยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือสงครามทั้งปวง

ข้าพเจ้าขอนำท่านออกเดินทางสู่ภูสูงเสียดฟ้า ไปบนหลังคาโลก
ไปสู่ธิเบต อาณาจักรชัมบาล่า ที่ที่ท่านจะได้พบกับ ปาโว พาโล
นักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาจักรวาล



ธิเบต ดินแดนที่เป็นดุจภาพฝัน
เป็นเป้าหมายแห่งการท่องเที่ยวเดินทางของใครหลายคน
ครั้งอดีต ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นผืนผิวของมหาสมุทรมาก่อน
เนื่องจากมีการขุดพลซากสัตว์ทะเล
และยังมีการขุดพบซากไดโนเสาร์ อีกด้วย

ธิเบต คือที่ตั้งของเทือกเขาเสียดฟ้า หิมาลัย อันมียอดเขาสูงสุดเสียดฟ้า
คือ โชโมลังมะ หรือ เอเวอร์เลสที่ชาวเนปาลเรียกว่า ศกรมาธา
หิมะที่ละลายจากเทือกเขาได้ก่อเป็นมหานทีที่สำคัญมากมาย
ทั้ง ยาลุง ซังโป (พรหมบุตร) จิงเจียง (แยงซีเกียง) นูเจียง (สาละวิน)

ชาวธิเบต แบ่งได้เป็นห้าเผ่า คือ เมนปะ โลปะ เดนปะ และเชอปะและเผ่านาคิส
โดยแบ่งการปกครองออกเป็นสองแคว้น มีเมืองสำคัญ คือ ลาซา
ที่มี ดาไลลามะเป็นประมุขและเมืองซิกัตเซ่ ที่มีปันเชนลามะเป็นประมุข

ชาวธิเบตได้ชื่อว่า เป็นผู้รักสันติเหนือ สิ่งอื่นใด
ด้วยเหตุนี้จึงถูกรุกราน และตกอยู่ภายใต้การครอบครองของทั้ง มองโกล
และจีน แม้ในปัจจุบัน องค์ดาไล ลามะ เทนซิน คยัตโซ ที่กำลังถูกประท้วง
โดยทางการจีน จากการไปเยือนเยอรมนี ก็ยังต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ ธรรมศาลาในอินเดีย



หากเราใช้วิถีนักรบโดยทั่วไปว่ามาพิจารณา
เราอาจกล่าวว่า ชาวธิเบตเป็นคนขี้ขลาดตาขาว
กระทั่งประมุขของตนยังต้องลี้ภัยมามาอยู่ที่ประเทศอื่น
ทำไม ไม่จับดาบขึ้นประท้วงต่อสู้
แบบที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกระบวนการสงฆ์ในพม่า
ที่กำลังประท้วงรัฐบาลทหารอยู่ในขณะนี้

แต่สาเหตุหลักมาจากความยิ่งใหญ่ในเชิงจิตวิญญาณของนักรบแห่งธิเบต
นักรบ ในภาษาธิเบต เรียกว่า ปาโว

ปาโว มีความหมายลึกลงไป หมายถึง ผู้มีชัยเหนือการท้าทายทั้งปวง
ความเป็นนักรบของธิเบต จึงหมายถึง การมีชัยเหนืออารมณ์ ความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นเร้า
จากการท้าทายของผู้อื่น

ในขณะเดียวกัน นักรบ ย่อมกระหายในสงคราม
แล้วอะไร คือ สงครามของนักรบแห่งธิเบต
นักรบแห่งธิเบตไม่เคยออกรบกับสงครามภายนอก
แต่เขากลับใช้ความกล้าหาญที่เหนือกว่าเข้าต่อตีกับข้าศึกภายใน
เมื่อได้ชัยชนะชาวธิเบตจะเรียกชัยชนะนั้นว่า พาโล

พาโล จึงความหมายถึง ชัยชนะเหนือสงครามทั้งปวง
สงครามทั้งปวงจึงเป็นเพียงของเล่นสำหรับ ปาโว

ปาโว พาโล จึงหมายถึง นักรบที่มีชัยเหนือสงครามทั้งปวงนั่นเอง

อาณาจักรที่เหล่า ปาโว พาโล ปกครองอยู่จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีอาณาบริเวณ
มีรัฐธรรมนูญ มีประชากร หรืออธิปไตยแต่อย่างใด

อาณาจักรที่ว่า เป็น อริยะนคร ที่ปกครองโดยประชาชนทุกคนเป็นราชันย์และราชินี

อาณาจักรอริยะ อาณาจักรชัมบาล่า ที่ทุกคนใฝ่ฝัน



ปาโว พาโล แห่งชัมบาล่ามีวิถีแห่งการฝึกฝนตนเองที่หนักหน่วง
โดยได้รับอิทธิพลโดยตรงจากพุทธศาสนาสายมหายาน
ที่ในธิเบตมีอยู่มากมายหลายนิกาย
ทั้งนิกาย นะยิงมา การ์จู ศากยะ และเกลุก

วิถีแห่งชัมบาล่า มีหลักการสำคัญทั้งหลักในทางปัญญา และความกรุณา
ซึ่งหลอมรวมวิธีการต่างๆในการฝึกตนเองไว้อย่างแยกกันไม่ออก
ปัญญาจะช่วยส่งเสริมกรุณา และกรุณาจะช่วยส่งเสริมปัญญา
และเมื่อ ผู้ใดผ่านวิถีแบบชัมบาล่า
เขาผู้นั้นจะได้เป็นสุดยอดแห่งนักรบแห่งมหาบูรพสูรย์
อันมีพระอาทิตย์สีเหลืองเป็นสัญญลักษณ์


วาโป พาโล นักรบมหาบูรพสูรย์ แห่งมหาอาณาจักรชัมบาล่า
นักรบผู้กุมสภาพสงครามอันยิ่งใหญ่ภายในจิตใจตน

...........

ในตอนหน้าผมจะมาเล่าต่อถึง
วิถีแห่ง วาโป พาโล
หัวใจของธิเบต ที่มิได้รอให้คุณเดินทางไปแต่เพียงสนองความต้องการ
ทางสุนทรียภาพในโลกยุคที่บัตรเครดิต สายการบิน คนนำเที่ยว
และโรงแรม ทำงานสอดประสานกันเป็นอย่างดี

Thursday, September 13, 2007

สากลศาสนคีตา


กฤษณะ กฤษณะ องค์เทพแห่งสรวงสวรรค์
รบเถิด อรชุน รบเถิด อรชุน
ในท่วงทำนองขององค์ภควัน อันรจนามาช้านานในภควัทคีตา
ข้าพเจ้าได้อ่านถ้อยคำจากสรวงสวรรค์อีกครั้ง ในสำนวนแปลของ สมพร พรมทา
ในหลักปรัชญาสางขยะ และโยคกรรม
ซึ่งสอนสั่งไว้ให้การหลุดพ้นจากทวิลักษณ์หรือประกฤติ ต้องกอรปด้วยการปฏิบัติตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
การหลุดพ้นจากทวิลักษณ์ คือ สางขยะ
การปฏิบัติตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น คือ โยคกรรม
ในโยคกรรม ท่านอาจทำทั้งบาปและบุญ ทั้งดีและชั่ว
แต่ โยคะแห่งการชำระล้างจิตใจจะนำท่านให้รอดพ้นจากทะเลทุกข์

ข้าพเจ้าร่อนโล้สำเภากลางเกลียวคลื่นอย่างเดียวดาย
ดุจผู้หิวโหย แห้งหาน้ำจืดประทัง
ข้าพเจ้าเคยเฝ้ารอนางอัปสรช่วยโปรดโปรยปรายสายพิรุณแต่ก็หามีไม่
ในโลกนี้ คงมิมีนางอัปสรที่เข้าใจความแห้งโหย ดุจเดียวกับความแห้งโหยของอรชุนในยามสงคราม

ความแห้งโหยที่เกรอะกรังด้วยรอยเลือดแห่งจิตใจ
เสียงอสุนิบาตข่มขวัญข้าศึก
รถรบ ทิวธง ทหารทรงม้า และสนั่นเสียงปืนใหญ่
คงระคายกลีบกลิ่นเกสรของเหล่านางฟ้านางสวรรค์กระมัง

ข้าพเจ้าเคยอ่อนล้า ด้วยไฟและการเหยียบย่ำนานา
ไฟและการเหยียบย่ำดุจดั่งมารดาและคุรุผู้ทำคลอดดวงจิต

เมื่อองค์กฤษณะปรากฏกายต่อหน้าอรชุนแล้ว
เหล่าทัพเการพคงต้องราญแหลก ด้วยอรรถกา สางขยะและโยคกรรม

และด้วยความรักที่ยังสถิตย์อยู่ในดวงใจข้าอย่างสม่ำเสมอ
องค์ปรากฏแห่งเยซู ผู้มีดวงใจแห่งความรักระคนเลือดของรอยหนามที่บดคมลงบนพระจิต
แล้วความเจ็บปวดของข้าพเจ้าก็กลายเป็นเพียงฝุ่นธุลีด้วยหัวใจแห่งความรักของพระองค์

อาตมันในตัวข้าร่ำร้องอยู่มิขาด
ในหลายวันข้าพเจ้าจึงหยิบฉวบศาสตราแห่งพุทธะ เข้าโรมรันตัดฟันทำลายมายาให้สิ้นทราก
วิปัสสนา โยคกรรม ดุจน้ำชำระล้างบาปเคราะห์ให้หลุดร่อน
วิราคะ นิพพิทา ก็สลัดปัจจัยปรุง สังขาราทั้งปวงให้ปริออก
ปารามิตา สางขยะ มัธยมมิกะ วิมลเกียรติ โลหิตสูตร มรณศาสตร์ คือ แผนที่เจาะไชทำลายมายา
ทำลายมายาเพื่อคืนคาย อาตมัน หรือ จิตเดิมแท้ ให้ผลิโผล่ขึ้นมาเหนือสนามพลังควอนตัม แมคคานิก
อิเลกตรอน โฟตรอน โปรตรอน นิวตรอนที่เคยแทรกสอด ซิงโครไนส์ จิตใจข้า เริ่มแผ่วเบา

ด้วยจิตอธิษฐานถึงเหล่าคุรุเทพเทวา และบรมโยคี
ข้าพเจ้ามิมีสิ่งใดจะยัญกรรมแก่ท่านนอกจากพลีซากกายและอาตมันนี้เพื่อความไพบูลย์
หากองค์กฤษณะบอกสาสน์แก่ ข้าพเจ้า ว่ารบเถิด ข้าพเจ้าจะหยิบดาบของเอกองค์นบีขึ้นราญรอนในยุคเข็ญ

หากท่าน มิลาเรปะ โยคนันทะ บาบาจิ มหาสยาและเหล่าโยคีจะอรรถกถาสางขยะ
ข้าพเจ้าจะน้อมรับด้วยอาตมันหรือดวงจิตเดิมแท้ของข้าพเจ้า
ดวงจิตที่สมานรอยร้าวแห่งมายาจนไร้รอยขูดขีด

เมื่อเป็นเช่นนี้ใครกันเล่า จะกล้ากล่าวอ้างถึง พหุทวารา นามศาสนา

ก็ในเมื่อ พรหม กฤษณะ ปรมาตมัน นิพพาน พระเจ้า กระทั่ง จิตจักรวาลที่ตัดขาดการซิงโครไนส์ คือ ส่งเดียวกัน

และเมื่อข้าพเจ้าได้ดื่มอมฤตธรรม และชูถ้วยแก้วศักดิ์สิทธิขึ้นเหนือศรีษะ
บทเพลงคีตาแห่งสากลศาสนา ก็บรรเลงเพลงรักขึ้นอีกคำรบ

.........

แด่บรมโยคีพุทธเจ้า เหล่าคุรุเทพ และนักวิทยาศาสตร์ควอนตัมแมคคานิก

Friday, September 07, 2007

หลาน

ผมมีหลานสามคน
คนโต โตมากแล้ว อายุ ๑๔
คนที่สองชื่อ ภพ ผมเรียกหลานคนนี้ว่า ลามะ
สองคนนี้เป็นลูกพี่สาวคนรอง
น่ารักดี เลยถ่ายรูปมาให้ดู
คนที่สาม ชื่อน้องกวาง
คนนี้เป็นลูกพี่สาวคนโต

ส่วนผม น้องคนเล็ก
ไม่มีทั้งลูก และเต้า ฮา ฮา










น้องกวาง











ลามะ

Saturday, September 01, 2007

ในสนาม


ในสนาม

ในสนามพลัง บางทีผมอาจเดินทางเวียนวนอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง
เหนื่อยมาก ในสนามพลัง แห่งนี้
เดินทาง จนผมห่างหายจากตัวตนเดิมๆ ไปไกลแสนไกล
เดินทางพลัดหาย จากเพื่อนร่วมทางหลากหน้า

ตัวตนที่ถูกกลืนกิน จากอ่อนหวาน สู่ก้าวร้าว
จากก้าวร้าว สู่เพลิงไฟ
จากเพลิงไฟ สู่ความร้อนรน
จากความร้อนรน สู่ความเกรียมไหม้
จากความเกรียมไหม้ สู่ความทรมาน
จากความทรมาน สู่ความไม่อาจควบคุม
จากความไม่อาจควบคุม สู่การยอมแพ้
จกาการยอมแพ้ สู่ความตาย
จากความตายสู่การพักผ่อน
จากการพักผ่อนสู่การพักฟื้น

ผมกำลังพักฟื้นตัวเองในสนามพลัง
พักฟื้นอยู่อย่างเดียวดาย แต่ผมเข้าใจมัน
เมื่อผมเดินได้ แม้ในส่วนลึกยังวาดหวัง
แต่ความวาดหวังก็เป็นส่วนนึงของสนามพลัง

ผมจึงวาดหวังว่าจะเดินออกจากสนามพลังแห่งนี้เสียที
ออกไปเป็นผู้ดู และรู้เห็น
ความดำรงคงอยู่ของมัน อย่างเสรี

ไม่ว่าใครใน จักรวาลแห่งนี้
จะเข้าใจในชะตากรรม และสิ่งที่ผมทำหรือไม่ก็ตาม

ผมรู้แต่ว่า ผมกำลังมีความสุข สันติ ขึ้นเรื่อยๆ

..........

ขอให้ทุกท่าน ในสนามพลังมีความสุข

Tuesday, August 14, 2007

ที่รัก


ที่รัก

เขียนที่ โลก

ที่รัก เมื่อดวงหน้าเธอปรากฏขึ้นในดวงใจ ดุจดังดอกไม้ที่เบ่งบานในยามเช้า
ฉันพบว่าเธอทั้งหลาย ล้วนมีใบหน้าดวงเดียวกับฉัน
ในดวงหน้ามีดอกไม้ ใบหญ้า สายลม น้ำค้าง ปรากฏพร่างพราวอยู่ไม่ขาด

ใครกันที่บันดาลดวงหน้ามหัศจรรย์ของเธอทั้งหลาย
เธอที่นำความสุข ความสนุกสนาน เสียงหัวเราะ กระทั่งความเจ็บปวด มาสู่ฉัน
บางทีเธอและฉันอาจเคยเป็นลูกไฟที่ลอยล่องไปในอวกาศ
เป็นอุกกาบาตที่ท่องเที่ยวตามแรงโคจรในห้วงกาลจักร
บางทีเธออาจเริงร่ายเป็นพรายฟองในสายน้ำ และผุดโผล่มาทักทายฉันที่ริมสายน้ำ

ฉันอาจเคยเป็นตั๊กแตนกระโดดไปมา
ส่วนเธออาจเป็นผีเสื้อเริงระบำ
ฉันชอบที่เธอสวมชุด หนอนแก้วสีเขียวสดใส
ส่วนเธออีกคน อาจเป็นผึ้งตัวเขื่องคอยบินหึ่งๆดูดน้ำหวานจากดอกไม้

ที่รัก
ฉันเอง และเธอเอง เราเคยอาศัยอยู่ด้วยกันในดวงตะวัน จันทรา
เราออกท่องเที่ยวมาด้วยกันเมื่อตะวันปันไฟอุ่น
เมื่อไฟ บันดาลลม แล้วลม บันดาลน้ำ จนน้ำบันดาลดิน
ดอกไม้ก็เริ่มเบ่งบาน พืชพันธ์เริ่มเติบโต
จนเธอฉันได้มากล่าวคำทักทายกันด้วยไมตรี

ที่รัก
ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่นี่ หรือที่ไหน
ไม่ฉันจะจำดวงหน้าของเธอได้หรือไม่
ไม่ว่าเธอจะรักหรือเกลียดฉัน
ในสายลม ภูเขา ก้อนเมฆ ลาวา แผ่นน้ำ ผืนทวีป
ดอกไม้ที่ผลิบานที่ยังคงไหวระริกในสายลม
โดยมีดวงอาทิตย์คอยให้ไออุ่น

ที่รัก
ดวงหน้าที่แท้จริงของเรามีหนึ่งเดียวเท่านั้น
และเมื่อเรารับรู้ เราจะไม่เคยลืมกันได้เลย

ที่รัก
มาเถอะ
เราจะร่วมเริงระบำในค่ำคืนแห่งอนันตกาล
อันความข่มขื่น เจ็บปวด ไม่อาจชำแรกไปได้ถึง

..............
ขอให้เธอมีความสุข

Friday, August 03, 2007

Hotel of Life


Hotel of Life

คนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่เดินทางได้
การเดินทางที่ผมว่า หมายถึง การกำหนดแหล่งที่เดินทาง การวางแผนเตรียมการ
ตลอดจนการซึมซับอารมณ์ความรู้สึกขณะเดินทาง กระทั่งการแวะพักรอนแรมในสถานที่ต่างๆ

โรงแรมเป็นที่หนึ่งที่คนมักเข้าพักค้างอ้างแรม
โรงแรมมีหลายขนาด หลายคุณภาพ จนต้องเอาดาวบนท้องฟ้ามาประดับ
แล้วทำไมไม่ย้ายโรงแรมไปอยู่บนดวงดาวบ้างล่ะ ฮา ฮา

เราพักค้างในโรงแรมอาจจะคืน หรือสองคืน หรือมากกว่านั้น
อาจพักคนเดียว พักกับครอบครัว หรือ กับคู่รัก ว้าว
เราอาจสั่งอาหารมารับประทาน สูบบุหรี่ หรือทอดสายตาจากระเบียงห้องพัก
จนกระแสคลื่นแห่งดวงตาไปหยุดลงตรงละอองฟองของเกลียวคลื่นทะเลสวย
และแล้วเมื่อพลบค่ำมาเยียมเยือน จนดวงตาเราหลับลง
เมื่อนั้นโรงแรมก็ได้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ อีกครั้ง

...........................

เมื่ออรุณรุ่งมาถึง และใกล้กาลเวลาที่ต้องออกจากโรงแรมเพื่อท่องเที่ยวเดินทาง

ณ ขณะนั้น หากท่านมีดวงใจ เราอาจพบว่า

เราไม่เคยรู้สึกอาลัยกับห้องพักในโรงแรมสักเท่าใด

เราไม่เคยแม้คิดจะประดับประดาห้องพักให้สวยงามมากขึ้น

วันรุ่งขึ้น แก้วน้ำที่เราใช้ จะถูกนำไปล้างและคว่ำไว้ที่เดิม

สบู่ก้อนใหม่จะถูกจัดวางไว้เรียบร้อย

ผ้าปูเตียง และที่เขี่ยบุหรี่จะถูกจัดการให้อยู่ในสภาพเหมือนใหม่

พร้อมสำหรับ คนใหม่ที่จะมาพักค้างในคืนถัดไป

พักค้าง ใน ห้องที่ไม่มีใครรู้สึกเป็นเจ้าของ

..................

ข้อสังเกตประการหนึ่ง เวลาที่ เราไปพักในโรงแรม

หากเราไม่กลัว ผี เราจะรู้สึกนอนสบายและหลับลึก
สาเหตุคงมาจากโรงแรมมักเป็นที่ที่เราใช้หลีกเร้นจากเรื่องราววุ่นวายนานาประการ
ความวุ่นวายที่เริ่มต้นมาจากความเป็นเจ้าของ

ความเป็นเจ้าของบ้าน เจ้าของครอบครัว เจ้าของงาน
เจ้าของเพื่อน เจ้าของคนรัก กระทั่งเจ้าของหัวใจของเรา

แต่ที่โรงแรม เราไม่ได้เป็นเจ้าของมัน
เราไม่ได้คิดประดับประดามัน
ไม่ได้ทำให้มันดีขึ้น หรือเลวลง
เราเพียงแต่มาพัก แล้วเราก็จากไป

เราจึงนอนหลับลึกและสบายอย่างยิ่ง

..............................

โรงแรม เป็นที่ที่เรานำกายและใจของเราไปพักในระหว่างเดินทาง

และแท้จริง กายของเราก็เป็นที่ที่ใจเข้าพักอาศัยในระหว่างเดินทาง

ท่านเคยเห็นตุ๊กตารัสเซียที่มีตุ๊กตาหลายตัวอัดแน่นอยู่ข้างในหรือไม่

บางทีชีวิตก็เป็นเพียงตุ๊กตาตัวใหญ่ที่อยู่ด้านนอกสุด

ความรัก หน้าที่การงาน ครอบครัว สถาบัน ลัทธิการเมือง

อาจเป็นเพียงตุ๊กตาตัวใดที่ห่อหุ้มตุ๊กตาตัวที่อยู่ลึกที่สุด คือตัวตนที่แท้ของเราท่าน

แต่ที่แน่ๆเราไม่เคยรู้สึกว่าโรงแรมห่อหุ้มตัวเราอยู่

เราจึงเป็นอิสระจากมัน

..................

ผมรู้สึกว่าผมเดินทางมาไกลมาก ไกลจนกาลเวลา กระทั่งความใกล้ไกลล่มสลายลง
ผมรู้สึกว่า ร่างกาย จิตใจแห่งอารมณ์ บางทีอาจเป็นเพียงโรงแรมแห่งหนึ่งในหลายๆแห่ง
บนเที่ยวเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เที่ยวเดินทางที่มีชื่อว่า Samsara Route

การเกิด การตาย ความรู้สึกหลังความตาย และการดำรงอยู่
อาจเป็นเพียงจังหวะที่เรา Check Out ออกจากโรงแรมแห่งใด
เพื่อ Check In ในโรงแรมแห่งหนึ่งเท่านั้น

เมื่อถึงเวลานี้ ผมตระหนักรู้เพียงว่า เราทั้งหลายเป็นเพียงนักเดินทาง
เรามาแล้วไป แล้วไปแล้วมา จนอาจกล่าวว่าไม่มีการมาไป
เราเพียงเดินทางเป็นรูปวงกลม

วงกลมแห่งชีวิต ที่หากเราตระหนัก
แค่เราตระหนัก เท่านั้น

เราจะพบกับอิสรภาพ

อิสรภาพจากโรงแรมแห่งนั้น
ที่ที่เราได้หลับและตื่นอย่างลึกซึ้ง


...............

ขอให้ทุกท่านมีความสุข

Wednesday, July 25, 2007

ใครไม่รู้จักไบเบิ้ล


ใครไม่รู้จักไบเบิ้ล

ใครไม่รู้จักไบเบิ้ลบ้าง คงหายาก เด็กเล็กๆก็ยังรู้จักไบเบิ้ลกันเลย

หลักการแห่งไบเบิ้ล ถือเป็น หลักการสูงสุดที่ผู้คนในสมัยกลางยึดถือ
ผู้ใดกล่าวคำที่ขัดกับไบเบิ้ล ผู้นั้น อาจได้รับผลร้าย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

สมัยก่อน ผู้คนมีความเชื่อผิดๆว่าโลกแบบน หากเดินทางโดยเรือไปเรื่อยๆ
อาจไปสุดที่ขอบโลก จนกระทั่งตกลงไปจากโลกได้

ในไบเบิ้ลบอกว่า โลกไม่แบน แต่โลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ
โดยมีดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก ทั้งนี้เนื่องมาจากการสังเกต พระอาทิตย์ขึ้นหรือตก
จนสันนิษฐานแล้วนำไปบันทึกในไบเบิ้ลว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก
แล้วมีการเชื่อถือสืบๆกันมา

จนการอุบัติของ กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์เอกที่ทำการทดลองด้วยเครื่องมือทางดาราศาสตร์
จนได้ข้อสรุปว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ โลกจึงมิใช่ศูนย์กลางของระบบสุริยะ
ข้อสรุปที่ว่า จึงขัดแย้งกับข้อความในพระคัมภีร์โดยสิ้นเชิง

ต่อมาสันตะปาปาจึงเรียกกาลิเลโอไปสอบสวน ข้อหากล่าวคำที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์
และขู่ให้กาลิเลโอแก้ข้อความในบันทึกของตนและคำประกาศความจริงดังกล่าว
ทั้งนี้หากประชาชนไม่เชื่อถือในพระคัมภีร์แล้ว
ศาสนจักรก็อาจถึงกาลพินาศจากความเสื่อมศรัทธาในไบเบิ้ลเป็นแน่แท้

กาลิเลโอ ยอมแก้ข้อความของตนโดยกล่าวว่า

"เนื่องจากไบเบิ้ล เนื่องจากศาสนจักร และเนื่องจากสันตะปาปา
ข้าขอยืนยันว่าโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ (ก็ได้)"

กาลิเลโอจึงรอดตายไปหวุดหวิด

ต่อมาเมื่อ กาลิเลโอเสียชีวิต
มีการค้นพบบันทึกลับของเขา
ซึ่งมีข้อความต่อท้ายข้อความข้างต้นว่า

"แม้ว่าตามบันทึกในไบเบิ้ล จะกล่าวว่า โลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ
แต่ที่แน่ๆ โลก และดวงอาทิตย์ ไม่รู้จักไบเบิ้ล โลกและดวงอาทิตย์อ่านไบเบิ้ลไม่ออก
ดังนั้นข้าจึงหมดปัญญาที่จะทำให้โลกและดวงอาทิตย์เชื่อตามไบเบิ้ล"

..................

ผมนั่งรถแท็กซี่ไปประชุมที่รัฐสภาเรื่อง จัดทำฐานข้อมูลสืบค้นรัฐธรรมนูญ
คนขับรถบ่นอุบ "ทำไม่ฝนแม่งต้องมาตกที่กรุงเทพฯด้วยฟะ"

ผมนึกถึง กาลิเลโอ ได้ จึงตอบกลับไปว่า

"ฝนมันไม่รู้จักกรุงเทพฯหรอกพี่ มันก็ตกของมันไปเรื่อย"
ฮา ฮา

Wednesday, July 18, 2007

คลาสสิก โมนโด


คลาสสิก โมนโด

โมนโด คือ วลี หรือประโยค ที่อาจารย์เซนมักใช้กระตุ้นจิตแห่งการตื่นรู้กับบรรดาสานุศิษย์
กระทั่งใช้กระตุ้นเตื่อนตนเอง เพื่อไถ่ถอนอัตตาอันเป็นมายา โดยการทำเห็นแจ้งในจิตตน

เซน เห็นว่า สัจธรรมนั้นอยู่แนบชิดติดตน
แต่คนผู้จนยากกลับออกแสวงหาจากภายนอก
ดุจดั่งบุตรของเศรษฐี ผู้หลงทางอยู่ในหมู่ยาจก
โดยหารู้ไม่ว่า เพชรแห่งสัจจะนั้นอยู่ในกระเป๋า คือ ดวงจิตเดิมแท้ของตน

ในบรรดาโมนโดที่ผมชื่นชอบ มีโมนโดที่เป็นเอกอยู่หนึ่ง คือ โมนโดของรินไซ

รินไซ เป็นอาจารย์เซนชาวจีน ผู้เกรี้ยวกราด ท่านจะใช้การสอนโดยการท้าทาย ยั่วยุให้เกิดความโกรธเกรี้ยว
และ ณ ขณะที่ผู้ถูกกระตุ้นอยู่ในอารมณ์ด้านใดอย่างสุดๆ นั้น คือจังหวะแห่งการเริ่มต้นมองเห็นจิตตน
จึงอาจกล่าวได้ว่า รินไซ เป็นอาจารย์เซนผู้ชอบใช้กระบองคือคำพูดท้าทาย ตีลูกศิษย์ ให้กลับสู่บ้านของตนเอง


ในทุกๆเช้า เมื่อรินไซตื่นขึ้น จะมีลูกศิษย์คอยยกอ้างล้างหน้าพร้อมกลับกระจกให้กกับรินไซ
เมื่อรินไซส่องกระจก รินไซมักกล่าว โมนโดเพื่อกระตุ้นการตื่นรู้ของตนว่า

"ว่าไง รินไซ ท่านสบายดีรึ ท่านควรจะตายได้แล้ว"

โมนโดดังกล่าว หากเอาไว้ทักทายคนอื่น คงเกิดการตะลุมบอนเป็นแน่

แต่สำหรับอาจารย์เซนผู้ยิ่งใหญ่

รินไซ ที่ "รินไซ"กล่าวถึง หมายถึง ความเป็นรินไซ ที่หายใจเข้าออกอยู่ใน "รินไซ"

รินไซที่แท้ ยืนอยู่หน้ากระจก เพื่อทักทาย รินไซ ที่อยู่ภายใน และกล่าวคำอวยพรกับตัวเอง
ว่าตัวตนแห่งรินไซควรจะตายไปได้แล้ว

ไม่ต้องแปลกใจ ที่ท่านพุทธทาส เคยเขียนบทกลอนวรรคทองของท่านที่ว่า "ตายก่อนตาย"

ท่านพุทธทาสได้รับอิทธิพล จาก รินไซ โดยตรง

จึงอาจกล่าวได้ว่า โมนโดของรินไซ เป็นโมนโดสุดคลาสสิก ที่ส่งอิทธิพลโดยตรงต่อคนไทย

ผ่านบทกลอนของท่านพุทธทาส

................

ศาสตรา ท่านควรจะตายให้มันพ้นไปได้แล้ว

ข้าพเจ้า เมฆบ้า จะได้นั่งร่ำสุรา อย่างมีความสุข

ฮา ฮา ฮา

Tuesday, July 10, 2007

ฝ่ายหญิง








ฝ่ายหญิง

หลังจาก ๕ นักแสดงชาย ก็มาถึงฝ่ายหญิงบ้าง

คนแรก น้องอูม่า เทอแมน ตีคู่มากับพี่จอน ทราโวลต้า เพราะผมชอบจากเรื่องเดียวกัน Pulp Fiction
ตอนหลังมาเล่น Kill Bill โหดไปหน่อย

คนสอง น้อง เร่เน่ เซลเวเก้อ บริจิต โจนส์ ไง คนนี้แสดงได้เป็นธรรมชาติดี
มีอีกเรื่องที่ผมประทับใจเธอ คือ ซินเดอเรลร่า แมน

คนสาม แมกกี้ จาง หรือ จาง หม่าน อี้ ผมชอบบทบาทจอมยุทธหญิงหิมะเหิรใน Hero
นิ่ง สงบ ฉลาด แบบมีปัญญาญาณ ขนาดตอนถูกฆ่ายังตายอย่างสวยงาม
ในเรื่องนั้น จาง ซี่ ยี่ หมองไปเลย

คนสี่ ซาลม่า ฮาเย็ก คนนี้ผมชอบดวงตาเธอเป็นพิเศษ เหมือนลาตินผสมเปอร์เซีย
ไม่ค่อยดูหนังของเธอเท่าไหร่ แต่ชอบดูเธอ มากกว่า ฮา ฮา

คนห้า ออเดร เฮบเบอน คนนี้ดารารุ่นเก่า ไม่เคยดูหนังของเธอ แต่ชอบ
เพราะสวยดี

เห็นไหม ไม่มี อั้ม ซะหน่อย