Thursday, September 24, 2009

ในความเงียบ


ตอนเด็ก ผมเคยป่วย จำได้ว่าครั้งหนึ่งปวดหัวมาก จนผมคิดกับตัวเองว่า
ผมมาอยู่ที่ไหนกัน ผมอยากออกไปจากที่นี่ มันเหมือนผมเป็นคนอีกคน มาอาศัยอยู่ในร่างกายอันแสนปวดร้าว
และอยากจะลุกออกไป แต่มันออกไปไม่ได้

ผมเคยรู้สึกโกรธ ทรมาน สำหรับผมมันทรมานมาก มันไม่ได้เจ็บปวดที่ร่างกาย
แต่มันเจ็บปวดไปทั่วทั้งความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่อยู่ภายใน
ผมใช้ทุกวิถีทางเพื่อบรรเทาความร้อนที่หมุนจี๋อยู่
มันทุกข์ทรมานแทบไม่มีทางออก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องมาอยู่ในที่ที่ทรมานแห่งนี้ด้วย

แน่นอนผมไม่ได้มองโลกแง่ร้ายขนาดนั้น ภายใต้ร่างกายและจิตใจมีพื้นที่และวิธีมากมายที่เราจะแสวงหาความสุขได้
การได้กินอาหารอร่อย เครื่องดื่มที่ดี เบียร์ เหล้า การได้ฟังดนตรีที่ดีมีสุนทรียรส การได้ดมน้ำหอม กลิ่นสุคนธ์ของดอกไม้และเครื่องหอม การได้เห็นภาพที่สวยงามทั้งภาพของผู้คนและทัศนียภาพ การได้รับสัมผัสที่นุ่มนวลพอใจ ตลอดจนการเสพรสอักษรหรือความรู้สึกที่ชุ่มชื่นหัวใจ ทั้งหมดเป็นหนทางที่เราแสวงหาได้ไม่ยากนัก ตามกำลังทรัพย์ กำลังสติปัญญา อันหลากหลาย

แน่นอนที่สุด ผมเป็นมนุษย์ธรรมดาที่หลงไหลเพลิดเพลินไปกับรสเหล่านั้น
โดยใช้ประสาทสัมผัสที่มี ทั้งทางกายและใจ

แต่หลายครั้ง ที่ผมอยู่คนเดียว นั่งมองสิ่งต่างๆพร้อมกับความอึดอัด
ใจสั่งการให้ผมทำอะไรบางอย่าง แต่ในขณะนั้นไม่มีปัจจัยมาสนองตอบได้
มันกลายเป็นกิจกรรมนอนดูเพดานในบางช่วง
มันคล้ายหนังเรื่อง lost in translation

.........

ในความเงียบ ของคืนนี้

ผมเห็นแขน และมือ ขยับไปบนแป้นพิมพ์
ใจที่หยุดนิ่ง มึนชา ผมไม่รู้ว่าผมจะแสวงหาอะไรได้อีก
ความสุขแบบเดิมๆ ช่างสั้นเหลือเกิน
ความรักบางทีก็หวานและมันก็ปวดร้าวได้เช่นกัน
ผมไม่กินเหล้ามานานมาก ผมรู้สึกว่ามันไม่อร่อยอีกแล้ว
ผมยังสูบบุหรี่อยู่ บางทีอาจเป็นสิ่งน้อยสิ่งที่ผมยังรู้สึกว่ามันเป็นเพื่อนผมได้
ผมรู้สึกว่าผมไม่มีเพื่อน แต่ผมก็เฉยๆ ไม่ได้ต้องการใคร ทั้งๆที่สมัยก่อนผมมีเพื่อนเยอะแยะ
ทั้งเพื่อนกินและเพื่อนตาย แต่ผมรู้สึกว่าไม่มีใครช่วยผมได้จริงๆสักคนและคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ผิดอะไร

บางสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันคือร่างกายและความรู้สึกที่ยึดโยงอยู่ภายใน

ลมหายใจเข้าออก ความอุ่น เนิ้อหนัง ความรู้สึกหลากหลายเกาะกุมเข้ากันอยู่

ผมยังอยู่ในที่เดิม

ถูกกักขังไว้ ในโลกไร้ฤดูกาล

ผมไม่ได้ดิ้นรนจะออกไป เพราะผมดิ้นจนหมดแรง

ร่างกาย จิตใจ ในความเงียบ ซึ่งอันที่จริงไม่ควรมีอะไรมาอธิบายเพราะแสดงว่ามันไม่เงียบจริง
แต่จะทำไงได้ ภาษามันมีไว้สื่อสาร

...............

ในความเงียบ

ร่างกายยังทำงานของมันไป

จิตใจยังดิ้นกุกกักไม่พักผ่อน

ผมรู้สึกถึงมัน
ในความเงียบ

Monday, September 07, 2009

คาลิล ยิบราน : ความรัก บทกวีที่ผมหลงไหล


ในบรรณพิภพโลก มีกวีเอกสามลำดับแรก คือ เชคสเปียร์ เล่า จื้อ และ ยิบราน สำหรับ เชคสเปียร์ คือ ยอดกวีโรแมนติก เล่า จื้อ คือ กวีแห่งสัจจะธรรมชาติลัทธิเต๋า แต่ ยิบราน กวีชาวเลบานอนผู้นี้ คือ สุดยอดกวีผู้ทำให้เด็กชายคนนึง ( ผมเอง ) หลงไหลในการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะ กวี ที่หาคนอ่านยากขึ้นทุกวัน

ปรัชญาชีวิต เป๋นหนังสือสร้างชื่อให้กับยิบราน ในหนังสือเล่มนี้มีการกล่าวถึงหัวข้อต่างๆหลายหัวข้อ และความรักก็เป็นหนึ่งในนั้น และเป็นเรื่องแรกที่ยิบรานกล่าวถึง หากใครเคยอ่านคงจำได้ ว่ายิบรานกล่าวถึงความรักไว้ ตรงไปตรงมา เสียดแทง บาดลึก เพียงใด และเช่นกัน ผมเองในฐานะผู้อ่าน ก็มีสิทธิที่จะตีความไปตามสิ่งที่ผมเข้าถึง บทกวีของยิบรานที่ผมหลงไหล และความรักผ่านการตีความบทกวีของผม

เมื่อความรักร้องเรียกเธอ จงตามมันไป
แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกรานไปฉะนั้น


คนเราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เราถูกสร้างมาให้มีรัก รักอยู่ภายในกายใจของเรา เมื่อรักทำงานครั้งใด หัวใจมักเกิดไออุ่น แน่นอนที่สุดเมื่อมันเกิดขึ้นก็มีทั้งคนที่กล้าๆกลัวและปล่อยโอกาสให้ผ่านไปด้วยความกลัวนั้น แต่เมื่อใครเดินตามความรักและได้พบกับคนรักสมใจ ความรักย่อมเกิดขึ้นแก่เขาทั้งคู่ ในความรักหัวใจของเขาทั้งคู่ต่างถูกผูกมัดจากแรงธรรมชาติไว้อย่างเหนียวแน่น และในความรักเราทุกคนต่างต้องเผชิญกับปัญหา ความเจ็บปวด บางครั้งมันเจ็บปวดดังหนามแหลมทิ่มแทงจริงๆ จนแทบจะบดเราให้แหลกลาญไปบนเตียงนอนอาบน้ำตา

เพราะแม้ขณะที่ความรัก สวมมงกุฎให้เธอ มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง
และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก
และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย


เมื่อความรักเกิดขึ้น มันต้อนรับเราด้วยความโรแมนติก ความหวานชื่น ดอกไม้ แรงบันดาลใจ ความคิดถึง ห่วงหา ปรารถนา ดังมิรู้อิ่มพอ โดยที่เราหารู้ไม่ว่าเรากำลังถูกผูกมัดด้วยกำลังแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่และปราดเปรื่อง ความรักทำให้เรารู้จักให้ แบ่งปัน แต่ในขณะเดียวกันมันจะตัดความเป็นตัวเราให้เล็กลง ในความรัก หากเรายืนยันแต่อัตตาของเรา ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นเสมอ ความรักจะตัดทอนอัตตาให้เรา พลังแห่งความรักจะหยั่งลงลึกในดวงจิต ในจิตใต้สำนึก หากเรายืนยันแต่อัตตาของเรา เมื่อความขัดแย้งระหว่างคนสองคนเกิดขึ้น เราจะเจ็บปวด แต่แท้จริง ความรัก กำลังถอนฟันผุๆ ซี่หนึ่งให้เรา การถอนย่อมมีการเขย่า และความเจ็บปวด หากใครทนความเจ็บปวดไม่ได้ ท้ายที่สุดเขาทั้งคู่ก็ต้องแยกจากกันไปอยู่กับฟันผุๆของตน

ความรัก ... จะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาว
แล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า


แน่นอนที่สุด เราเป็นมนุษย์เห็นแก่ตัว เป็นข้าวที่ยังไม่ได้หุง เป็นปลาที่ยังไม่ได้ขอดเกล็ด พวกเราดิบมากในแบบของพวกเรา แน่นอนที่สุดความรักดุจดัง พ่อครัวชั้นเลิศ หน้าที่ของเขา คือคัดสรรวัตถุดิบเอาไปปรุงอาหาร เมื่อเราถูกความรักหยิบจับ แน่นอน หากเราเป็นปลา เราก็ติดเบ็ด คือความโรแมนติก จากนั้น ชะตากรรมที่ดูไม่น่าพิสมัยจะเกิดขึ้นกับเรา เราต้องอยู่ร่วมกับคนอีกคน แบ่งปันกับเขา ขัดแย้ง ร่วมทาง ร่วมทุกข์ ร่วมสุข มันเหมือนกะทะตั้งน้ำมันร้อนๆ เลยทีเดียว หากเราผ่านขั้นตอนของมันไปได้ เราจะเติบโตขึ้นมาก เราจะละวางความเป็นตัวเราลง เราให้มากขึ้น ถ้าเรายึดติดน้อยลง ให้มากขึ้น เราจะมีหัวใจดวงใหญ่ขึ้น และมีพลังแห่งความรักบริสุทธิ์มากขึ้นเช่นกัน แต่ถ้าใครไม่ผ่าน พ่อครัวอาจพาเราลงถังขยะ เราจะกลายเป็นมนุษย์ในถังขยะ ไม่ได้ขึ้นเหลาพระเจ้า

ความรัก ... จะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ
เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับ ของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่ง ของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุข
และความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่าที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตน
และหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด
ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล ...
ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่


ใครหลายคน (รวมทั้งผม) ที่เคยต้องถูกความรักบดขยี้ จนมาถึงขีดจำกัดของหัวใจ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด ณ ขณะนั้น คือ การเลิกรา การเลิกราแท้จริงหาได้พรากความเข้าใจที่เรามีต่อเขาไปไม่ หากการเลิกราบางครั้งแสดงออกถึงความสิ้นเรี่ยวแรง และความน่าเบื่อเหลือทน แต่กระนั้นความเจ็บปวด สำหรับผมแล้ว มันช่วยได้มากในการที่ผมจะกลับมาศึกษาเรื่องของหัวใจ ก้มลงไปมองหัวใจตนเอง เพื่อจะเติบโตต่อไป เพื่อที่มีความสุขมากขึ้น ทุกข์น้อยลง ความเจ็บปวดเกิดขึ้นจากผู้อื่น นั่นเป็นมุมมองโง่ๆที่ผมเคยมี แต่ผ่านความรัก ผมได้รู้ว่า หากเราจะต้องรัก จะต้องอยู่กับใครสักคน หากเราเจ็บปวดได้น้อยที่สุดคงจะดีมิใช่น้อย สิ่งที่ผมค้นพบ คือ หัวใจของผมเต็มไปด้วยเรื่องราว ความคิด ทัศนะคติ และเมื่อผมปล่อยวางมันลงได้ กรอบของหัวใจก็ขยายขึ้น หรือค่อยๆถูกทำลายไป สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อเราจริงใจกับหัวใจตนเอง ค้นให้เจอต้นตอในหัวใจของเรา สิ่งเหล่าานี้เราต้องมองให้เห็น หาให้เจอ และกระทั่ง แบบแผนความดีที่เรายึดติด และใช้ตัดสินผู้อื่น ครั้งใดที่การตัดสินเกิดขึ้น ครั้งนั้น คนรัก ย่อมเป็นทุกข์ และตัวผมก็เป็นทุกข์ เพราะไอ้แบบแผน ความคิดนี่แหละ ที่ผมเอามันมากรีดหัวใจตัวเอง โง่จริงๆ

ความรัก ... ไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใด นอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้น พอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก


ผมได้เรียนรู้ว่า ความรัก ซ่อนลึกในหัวใจทุกคน ดุจดังดวงจันทร์กระจ่างฟ้า แต่เรามองไม่มันถนัดนักเพราะมักมีเมฆหมอกมาบดบัง เมฆหมอกดังกล่าว คือ กรอบของหัวใจเราเอง ความรักมันอยู่ของมันอย่างนั้นแหละ เมื่อเมฆหมอกผ่านไปเราจะเห็นมันอยู่ตรงนั้น ดวงจันทร์ไม่ครอบครองเรา และ เราไม่อาจครอบครองมัน แต่ถ้าไปถึง คืน แห่งฟ้ากระจ่าง ดวงจันทร์ย่อมให้แสงเย็นแก่เรา ผมยังไปไม่ถึงจุดนี้อย่างเต็มที่หรอก แต่ก็พอรู้สึกถึงความรักได้บ้างในหัวใจ


เมื่อเธอรัก อย่าได้พูดว่า ...
พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา
แต่ควรพูดว่าเราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า
และอย่าได้คิดว่า ... เธอสามารถนำแนวทางของความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่า เธอมีคุณค่าพอแล้ว ก็จะเป็นผู้นำแนวทางของเธอเอง
ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์
แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
... ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้


เรามนุษย์ตัวน้อย แต่รักนั้นยิ่งใหญ่ และเป็นพลังสากล เราย่อมเล็กกว่าความรัก แต่มีเพียงบางคนที่ได้เดินทางไปถึงและอาศัยอยู่ ณ ความรัก ถ้าเราทำลายกรอบของหัวใจได้มาก เรา คือผู้เหมาะสม ที่จะรัก มันไม่ได้เกี่ยวว่า คนที่เรารักเป็นใคร มันเกี่ยวกับว่า เรามีความรักในหัวใจเราหรือไม่ต่างหาก ข้อนี้ ผมว่า ผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชายนะ และการที่เราทำลายกรอบหัวใจได้มาก รักได้มากขึ้น เราย่อมสมบูรณ์ขึ้น เติบโตขึ้น มีวุฒิภาวะมากขึ้น ตัดสินน้อยลง สงบมากขึ้น แต่สิ่งที่เราต้องฟันฝ่า คือ ความปรารถนาของเราเองนั่นเอง



เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยน ละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บ ด้วยความเข้าใจ ในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติ และขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุข ซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำ ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ


ความปรารถนา เป็นเครื่องกีดกันหัวใจของเราจากความรัก หลายครั้งที่ผมพบว่า ผมรักได้น้อยลง ทุกข์มากขี้น เพราะผมถูกความต้องการ ความคิด ทัศนะคติ ของตนเองขีดขั้นเอาไว้ มันอาจจะถูกสำหรับอัตตาตนเอง แต่มันอึดอัดเป็นทุกข์ เพราะความรักที่บริสุทธิ์ส่องไม่ถึงใจเรา เมื่อเรามีความรัก และเราต้องทุกข์ อย่าไปโทษใคร โทษ ความปรารถนา จะให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ของเรา ดีกว่า เมื่อเราเห็นมัน มันจะค่อยๆหายไป สำหรับผม ถ้าผมไม่เคยมีความรัก ผมคงไม่เติบโตขึ้น ไม่มีความสุข ความเข้าใจในตัวเอง มากเท่าทุกวันนี้ ผมไม่ได้คิดว่าตนเองดี แต่คิดเสมอว่า ผมจะมีความสุขมากขึ้นได้อย่างไร และด้วยการค้นหากรอบในหัวใจตนเองที่ความรัก ความทุกข์ชี้นำให้ มันง่ายขึ้นที่จะมีความสุข แม้จะต้องเจ็บปวดบ้างก็ตาม

และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนา สำหรับคนรักในดวงใจ
และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ ...


ผมขอบคุณ คนรัก ที่ทำให้ผมได้ฝึกปรือหัวใจ สอนหัวใจดวงโง่ๆ ดิบๆ ให้นุ่มนวล รู้จักแบ่งปัน ลดความเห็นแก่ตัว ลดกรอบ ขนของที่ไม่จำเป็นออกจากห้องอันรกเรื้อ ผมมีความสุขมากขึ้นจริงๆ และผมเชื่ออย่างแม่นมั่นว่า สิ่งที่ยิบรานกล่าว เป็นมากกว่า บทกวีโรแมนติก แต่คือ สัจจะ

.................................

ผมอ่าน ยิบราน ครั้งแรก ตอนอายุ สิบสี่ปี ครั้งยังเป็นหนุ่มน้อย ยังไม่รู้จักจีบสาว ผมอ่านไม่รู้เรื่องหรอก สิ่งที่ผมจำได้ มีแต่คำว่า ความรักเท่านั้น ผ่านไปสิบเจ็ดปีแล้ว ผมพบว่า ด้วยหัวใจของเราและการเรียนรู้ของเราเท่านั้น ที่จะทำให้เราเข้าใจมันได้

ความรักเตรียมให้เราครึ่งเดียว ครึ่งที่เหลือเราต้องทำ

เพราะแม้เวลาที่เราพูดถึงความรัก เรามักนึกใครอีกคน

แต่สำหรับผม ความรัก คือ ปฏิบัติการของปัจเจกบุคคล และเป็นบทพิสูจน์ความยิ่งใหญ่แห่งหัวใจของแต่ละบุคคล

เพราะสุดท้าย แม้เราจะพบกัน แต่เราก็ต้องตายจากกัน

เมื่อความตายมาถึง เราต้องเผชิญมันอย่างเดียวดาย ด้วยคุณภาพหัวใจของเรา

และบางที สิ่งที่ ยิบราน กล่าว คือ สนามฝึกฝน ลานบด ชั้นดี

เพื่อให้เราได้กลายเป็น อาหารทิพย์ของพระผู้เป็นเจ้า