Thursday, June 29, 2006

รับน้อง


รับน้อง

ฮิจุ๋ม พร้อมรึยัง !

(กลองรัว ปี่เชิด)
.........


รับน้องดูจะกลายเป็น ปัญญาชนประเพณีที่ถูกก่นด่ามากที่สุดประเพณีหนึ่ง ทั้งที่จริงแล้วการรับน้องโดยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นอย่างที่ปรากฏในสื่อสักกะหน่อย

จริงไหมจ๊ะ ชาวนิติท่าพระจันทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาว ฮิจุ๋ม(สมาคมกฎหมาย ณ มหาวิทยาลัยแห่งดวงจันทร์)
............................

สิ่งที่ผมจำได้เกี่ยวกับรับน้อง คือ ความสุข ความสุข และก็ ความสุข

ปี 1 เป็น น้องสดๆ (Freshy) ให้รุ่นพี่แกล้ง ให้เต้นอะไรผมก็เต้น ให้ทำอะไรผมก็ทำ ไม่ใช่ยอม แต่รู้สึกสนุกดี จนเดี๋ยวนี้ก็ยังเต้นได้ ร้องได้ แต่สังขารและบุคลุก ไม่อำนวย ฮา ฮา

พอกลายเป็นรุ่นพี่ ก็สนุกสนานเบิกบานในฐานะ นายกลอง ร้องเพลงแซวรุ่นน้อง โดยเฉพาะน้องสาวๆทั้งหลาย ไม่เคยมีใครหลุดรอดไปจากทีมแซว ปากหมาได้ ( เดี๋ยวทีมแซวหายหัวกันไปเกือบหมด)


น้องๆส่วนใหญ่นิสัยดีมากๆไม่เคยโกรธ ตรงกันข้ามการแซวกันแบบขำๆหรือทะลึ่งบ้างกลับทำให้ความสัมพันธ์ต่างๆแนบแน่นยิ่งขึ้น นี่แหละครับอานุภาพของเสียงหัวเราะ และโดยเฉพาะกลุ่มฮิ-จุ๋ม ณ ท่าพระจันทร์ เนี่ย รับประกันความมันส์ ในเกือบทุกรุ่นขอรับ

แม้ว่าจะเรียนจบ ผมและพลพรรครักเอย ก็ยังไปรับน้อง สำหรับผมโดยส่วนตัว ไม่มีเหตุอะไรที่จะไม่ไป เพราะ เทศกาลความสนุกเช่นนี้หนึ่งปีมีครั้ง และแต่ละครั้งที่ไป ก็เหมือนการไปเพิ่มพลังให้กับชีวิต

จะมีมุมมองที่เปลี่ยนไปบ้าง ก็ คือ การไปรับน้องในช่วงหลังๆ ของผม

สอนให้เราเรียนรู้ที่จะให้มากกว่าที่จะรับ

สอนให้เรารับใช้มากกว่าทำตัวเป็นนายใคร

สอนให้เราตรงไปตรงมามากกว่าที่จะอ้อมค้อม

สอนให้เราหัวเราะมากกว่าการนั่งโศกเศร้า

สอนให้เรารักและรู้จักให้อภัย

.......................

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งท้าทายมากมาย ให้เราทำ

นอกจากการดื่มเหล้าแล้ว ยังมีการชงเหล้าให้น้องดื่ม

นอกจากนั่งเก๊กแบบรุ่นพี่แล้ว ยังมีการบริการรุ่นน้องแบบไม่ถือตัว
(ขอบคุณพี่หนึ่ง และพี่ก้อง)

นอกจากเสียงเอะอะ ร้องรำทำเพลง ยังมีการพูดคุยถึงปรัชญาชีวิตแฝงเร้น
( รำลึกถึง ชาว Zen ทั้งหลายในกลุ่ม)

.............


รับน้องจึงไม่ได้มีความหมาย เพียงแค่การ ต้อนรับผู้มาใหม่โดยการผูกข้อไม้ข้อมือ ความสนุกสนานบันเทิงของรุ่นพี่ สายตาที่สบประกายกันของหนุ่มสาว หรือกระทั่งการผ่อนกายคลายร่างของรุ่นพี่ที่ชอบทำหัวใจหล่นหายในเมืองใหญ่

แต่มันแฝงเร้นไว้ ซึ่งความบริสุทธิ์งดงามของ ความรัก ความอบอุ่น ความเอื้ออาทร ของคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ณ สมาคมกฎหมายแห่งหนึ่ง ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง บนโลก อันสถิตย์อยู่ในจักรวาล ผืนนี้

ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
............


ฮิจุ๋ม พร้อมรึยัง !

พร้อมแล้ว พร้อมแล้ว ! ตื่นเต้น ตื่นเต้น !
…………………………………

ด้วยความรักจากรุ่นพี่ทุกคน

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

เมฆบ้า สามสิบแปด


Tuesday, June 06, 2006

Ronins in Jazz Fest


Ronins in Jazz Fest

เป็นหลายครั้งที่ผมแวะมาเดินเล่นที่หัวหิน ทะเลที่ผมรักที่สุด แต่เป็นครั้งแรกที่ผมแวะมาเดินเล่นหัวหินเพื่อฟังดนตรีแจ๊ส

แจ๊สก็เป็นดนตรีชนิดหนึ่งที่ผมชอบฟัง โดยเน้นไปที่ แจ๊สแบบบัลลาด กับบอสซ่า เน้นฟังแต่เพลงตลาดๆ เนื้อร้องหวานๆ แต่ถ้าเป็น แสตนดาร์ด หรือ แจ๊สพันธ์อื่นๆ ผมจะหลับ

ศิลปินแจ๊สคนโปรดของผม อาทิเช่น หลุยส์ อาร์มสตรอง ,แนท คิง โคล ,ไมล์ เดวิด, โจบิม,นอร่า โจนส์ และใครอีกหลายคน

.........................................................

ผมเดินทางด้วยรถประจำทางและต่อเท้ามาถึงชายหาดในคืนวันเสาร์ราวห้าทุ่ม หลังจากที่
ทีโบน วงดนตรีที่ผมรักที่สุดเพิ่งเล่นจบไปไม่นาน

ก่อนเท้าสัมผัสทราย ก็ได้พบกับ นักดนตรีสองคน แต่งตัวกะมุกกะมอม หนวดเครายาวเฟ้ย ยืนถือกล่องกีต้าร์ ผมเดินเข้าไปทัก ว่าเขาเล่นแจ๊สด้วยหรือ

เขาทั้งคู่ตอบว่าไม่ มาเล่นดนตรีเพื่อชีวิตเปิดหมวกหาเงินใช้

ผมจำเขาทั้งคู่ได้ แต่จำชื่อไม่ได้

เขาก็จำผมได้ แต่จำชื่อผมไม่ได้

ผมรู้ว่าเขาทั้งคู่เป็นนักดนตรี และเขาทั้งคู่ก็รู้ว่าผมเป็นอาจารย์

แต่ก็ไม่ช่วยให้ใครจำชื่อใครได้

...................................................

เราทั้งหมด อาจารย์และนักดนตรีเพื่อชีวิต คือ คนผู้ใช้ชีวิตปักหลักอยู่หลังเวทีพันธมิตรด้วยกัน

สำหรับผม เมื่อร่ำลาและมองเท้าของคนทั้งคู่ลับหายไป สายตาก็ทอดไกลไปที่เวทีแจ๊สหน้าโรงแรมฮิลตัน สุดหรูหราอลังการ

เวทีใหญ่ๆแบบนี้ คงมีไว้สำหรับ นักดนตรีระดับดารา ผู้มีแฟนเพลงคับคั่ง

แต่สำหรับนักดนตรีทั้งคู่ เพียงเศษเงินที่ได้จากข้างถนนก็มากเกินพอ

เพราะเวทีแห่งจิตใจของเขากว้างใหญ่ กว่าชายหาดหัวหินนัก เขาทั้งคู่คือศิลปินแห่งโลกและพื้นดิน ผู้ก่อคุณประโยชน์แบบเงียบๆง่ายๆแต่ยิ่งใหญ่

เขาทั้งคู่ คือ โรนิน ซามูไรพเนจร ผู้ไร้สังกัด ค่าย ซึ่งออกตระเวณบรรเลงเสียงดนตรีให้กับประชาชนผู้ยากไร้ได้รับฟัง

เวทีของ โรนิน คือ โลกทั้งใบที่กว้างใหญ่มหาศาล ไร้กาลเวลา

คารวะจากใจ โรนิน นักดนตรี

............................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

Saturday, June 03, 2006

ดวงตา


ดวงตา

ในบรรดาอวัยวะของมนุษย์ที่ปรากฏรูปลักษณะให้แลเห็นได้ ดวงตาเป็นอวัยวะที่ทรงพลานุภาพที่สุดเพราะดวงตาสามารถก่อร่างสร้างความรู้สึกแก่บุคคลที่พบเห็น และเป็นสถานีแสดงความรู้สึกที่ดีที่สุด เหนือกว่าสถานีใดในโลกนี้

ในยามสุข แวววาวแห่งดวงตาอาจฉายโชนความปลื้มปิติยินดี น้ำเลี้ยงในตาจะวาบวามเปล่งประกายฉายฉาน เคลือบ ครอบ คลุม เนื้อตา ซึ่งนั่น เราอาจสัมผัสรับรู้ได้ไม่ยากนัก

ในยามเศร้า แวววาวแห่งดวงตากลับหดหายหลีกเร้น น้ำเลี้ยงที่เคยหล่อ กลับทะลักล้นออกจากขอบตา เปลี่ยนเป็นหยดน้ำแห่งความรู้สึก ซึ่งเราขานนามมันว่า “ น้ำตา” เมื่อยามที่น้ำตาหลั่งไหลย่อมมั่นหมายลงลึกถึงจิตวิญญาณแห่งความร้าวรานระทมทุกข์ ซึ่งผืนดิน ผืนโลก ไม่รู้ว่าเคยซึมซับมันมาแล้วกี่หยดต่อกี่หยด

ในยามเหงา แวววาวแห่งดวงตาอาจยังคง แต่หลืบเร้นแห่งแววตากลับซุ่มซ่อนผืนป่า เงียบ เชียบ รกเรื้อ รุงรัง อ้างว้าง ดังเวิ้งฟ้าสีหม่น ดวงตาแห่งความเหงาอาจเป็นดวงตาแห่งความว่างเปล่าอันหนาวเหน็บ หรือเป็นดวงตาแห่งการรำลึกถึงความสุขที่ยังจองจำเจ้าของดวงตานั้นอยู่

ในยามรัก แวววาวแห่งดวงตาอาจเปล่งประกายฉายฉาน แสงประกายดังกล่าวขับดันความรู้สึกสำนึกแห่งปราถนา รุ่มร้อน ทุรณ โหยหา ดื่มด่ำ ซ่านซาบ บีบรัด ให้ร้อนรน ความรู้สึกทั้งหมดอาจขึ้นทั้งในยามเผชิญหน้า และรำลึกถึง เขาและเธอของเจ้าของดวงตา

ในยามชัง แวววาวแห่งดวงตาเปลี่ยนแสงสีเป็นเขม็งเกร็งเกรียว ก้าวร้าว รุนแรง ที่แฝงเร้นจะเผยตนออกมาจากห้องใต้ดินของจิตใจ และส่งสัญญาณสงครามผ่านสายไหมแห่งความรู้สึก ให้แปรเปลี่ยนเป็นเบิกโพลง ทะลัก ทะล้น ด้วยฟอนไฟ

จึงมิผิดแผกประการใดที่นิรนามกวีจะกล่าวว่า “ดวงตาคือมุขบัลลังก์ของจิตใจ”


นอกจากดวงตาจะเป็นเครื่องบอกความรู้สึกแล้ว ดวงตายังส่งอิทธิพลต่อชีวิตของมนุษย์ในอีกหลายด้าน

ดวงตาของหญิงสาวที่ทอดข้ามมา อาจนำมาซึ่งการละเมอเพ้อพบและความสุขล้ำมาสู่ชายหนุ่ม ในขณะเดียวกันมายาภาพที่ทอดข้ามอาจเคยฝังร่างผู้โง่เขลาลงดินมาแล้วนักต่อนัก ดวงตาชนิดนี้อาจเปรียบประดุจมหาสมุทรสีฟ้าแกมมรกตอันลึกลับ ที่ประกายพรายน้ำสวยงามยิ่ง จนลื่นไถลจมหายว่ายเวียน สำลักล้น จนขาดใจ

ดวงตาของชายหนุ่มนักล่า อาจกรีดใจหญิงสาวให้เลือดหลั่ง แววตาอาจสะกดมนต์ร่าย จนหลุดลอยจากห้วงแห่งสันติ เข้าสู่มายาทะมึนดำ มายาภาพที่ลวงล่อ แนมสุนทรวจีอ่อนหวานเสนาะ อาจจองจำ ตีโซ่ตรวนแห่งจิตใจ ที่มักเอ่ยอ้างผิดๆว่า “ความรัก” ด้วยเหตุนี้เธอทั้งหลายจึงถูกไฟแห่งหินร้อนวิสสุเวียสเผาผลาญไหม้ทุรณ ดวงตาชนิดนี้ประดุจดัง ประลัยกัลป์บรรพต อันสวยงามแต่เร้นไว้ซึ่งลาวาระอุร้อน รอการปะทุระเบิด จึงสาดโคลนเดือดใส่ให้ทุรณ

ดวงตาของเด็กน้อยน่ารัก อาจนำความแช่มชื่นเบิกบาน ของดอกไม้แรกแย้มกลับสู่จิตใจของเรา มโนสำนึกแห่งเยาว์จะนำเราย้อนหวนคืนสู่ความรู้สึกในอดีตที่แสดงออกผ่านความสุขโดยเราอาจไม่รู้ตัว เมื่อคุณพบเด็กจึงเป็นโอกาสอันดี ที่เราจะได้สัมผัสสัมพันธ์ และซึมซับความรู้สึกสดใส อิ่มเต็ม ให้กลับมา ชุบชูชีวติอีกครั้ง ยามใดที่ผองภัยแผ่วพานจงกลับมามีดวงตาในเยาว์วัยอีกครั้ง แล้วสันติสุขจะกลับคืนสู่เรา ดุจทารกกลับคืนสู่ครรภ์ของมารดา คือ ธรรม

ดวงตาของเฒ่าชรา อาจนำความสลดหดหู่มาสู่จิตใจของเรา นำความกลัว ความรำลึกถึงการสิ้นสุดของชีวิต มาสู่เรา หยาบกร้านของดวงตาในหมายความปฐม อาจแร้งร้อนหดหู่ แต่ก็อาจแฝงไว้ซึ่งความสงบสันติของผู้เดินทางล่วงมาก่อน และหากเราพินิจความเป็นจริง แววตาของเฒ่าชรา อาจมีความหมายลึกล้ำถึงการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน ความไม่จีรังยั่งยืนของบรรดาสรรสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งตัวเรา วัยชราในความหมายนี้จึงหมายถึง การเตรียมตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนสภาพของชีวิตไปสู่สิ่งอื่นอย่างสันติ และนั่นจะส่งผลให้เราดำเนินชีวิต อย่างมีความสุขในปัจจุบันขณะอีกด้วย



รูปทรงของดวงตายังเกี่ยวพันกับสัณฐานทั่วไปทางธรรมชาติ

ในธรรมชาติเราจะพบว่าสรรพสิ่งที่ยิ่งใหญ่มักมีรูปปรากฏเป็น “ทรงกลม”

ทรงกลมของดวงอาทิตย์ ยามอรุณรุ่ง ยามสายอันอบอุ่น ยามเที่ยงอันร้อนรน ยามบ่ายอันอบอ้าว และยามอัสดงอันสงบเย็น

ทรงกลมของดวงจันทร์ ยามเดือนเพ็ญอันสุกใส ยามข้างแรมอันว้าเหว่

ทรงกลมของโลก อันมีผืนน้ำ ฟ้า แผ่นดิน แม่น้ำ พืชพันธ์ สัตว์ จุลชีพ ประสานสอดช่วงใช้ชีวิตอย่างกลืนกลม

ทรงกลมของดวงตา จึงอาจหมายถึง ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกที่เราอาศัยอยู่

ดวงตาจึงอาจเป็นจงใจของพระผู้สร้าง ที่ออกแบบมัน เพื่อเตือนให้เรารำลึกถึงความหนึ่งเดียวและความยิ่งใหญ่ของพระองค์

เมื่อท่านมองดวงตาทุกคู่ขอจงได้โปรดรับรู้ และซึมซับวิถีแห่งจักรวาลอันสันติ เปี่ยมล้นไปด้วยความรักและเข้าใจ เมื่อนั้นดวงตาของท่านจึงเปี่ยมล้นความหมายลึกล้ำ ชุ่มชื่น และโปรยปรายสายฝนชุ่มเย็นแก่พื้นที่ที่ดวงตาทอดข้ามมาสบกัน

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

ดาว


ดาว

เวิ้งฟ้ากว้างยามค่ำคืน ที่ริมระเบียง ทอดตาไปในเวิ้งจักรวาล

บนโลกที่ผมอยู่ ผู้คนในซีกมืดอาจกำลังหลับไหลไปในยามค่ำคืน ส่วนผมเพียงแต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ตัวเดิม

ความเงียบภายใน คือ ธรรมชาติที่ปรากฏ เงียบจนรู้สึกว่าบนโลกมีผมอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น

ความเงียบที่รัก เมื่อเธอเดินเข้ามาทักทาย และผลักดันชีวิตฉันให้ก้าวเข้าสู่ความอิสระ สิ่งเดียวที่ฉันรับรู้คือ ความเงียบและไม่สั่นไหว ไม่สั่นไหวกับความทุกข์ทรมาน และความแสบสันต์ของหลุมอารมณ์อย่างในอดีต

มาวันนี้ ผมได้กลับมาอยู่ในชีวิตที่แท้จริง คือ การเกิดคนเดียว อยู่คนเดียว และตายคนเดียว เพราะแม้แต่บางครั้งคู่รักที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกันอาจกำลังฝันคนละเรื่อง ทั้งในยามหลับและตื่น

ความสุขจากการอยู่คนเดียวที่ดีที่สุด คือ การเลิกเรียกร้องสิ่งใด จากใคร และแปรเปลี่ยนเป็นภารกิจที่ต้องทำเพื่อผู้อื่นที่ยังไม่อาจรอดหลุดจากตาข่ายของความทุกข์

ความไม่อาจเรียกร้องได้ ความแปรปรวน เคลื่อนที่ คือ สามัญลักษณะที่ต้องเข้าใจ และถอนใจออกความเคลื่อนไหวเหล่านั้น

สายลมเย็นเพียงวูบ อาจทำให้สบายกายและใจ แต่มิทันจะได้ทักทาย สายลมร้อนอาจสลับสับเปลี่ยนเข้าโลมโลบผิวกร้าน หน้าที่ของเรา คือ อย่าเรียกร้องสายลมเย็น หรือทัดทานความร้อนลุ่ม เพียงแต่เผชิญกับมันในทุกฝีก้าวของชีวิต อย่างเข้าใจ

ในบางทีอาจมีผู้คนแวะเวียนเข้าในชีวิต ก็ขอขอบคุณสำหรับการให้จากทุกท่านที่ผ่านพบ
และสำหรับบางคนที่ผมได้กลายเป็นสายลมร้อนสำหรับเขาและเธอ ก็ขอให้เขาและเธอมีความสุข

.................................................

ในค่ำคืน บางทีบนโลกอาจไม่มีใครอยู่เลยสักคน

ผมมองขึ้นไปที่ดาวดวงเล็กๆดวงหนึ่งที่อาจจะยังไม่มีใครตั้งชื่อ แล้วพาลคิดว่า จะมีดวงตาของใครสักคนเฝ้ามองผมอยู่

หากเธอมีจริง ผมเพียงแต่อยากกระซิบผ่านฟ้า และห้วงอวกาศ ว่า ผมนั่งอยู่ตรงนี้นะ

เพียงเท่านี้ ก็มากเกินพอ

..................................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น