Saturday, March 10, 2007

กรุงรัตนโกสินทร์กำลังล่มสลาย...


กรุงรัตนโกสินทร์กำลังล่มสลาย ผ่านความตายท่ามกลางกลิ่นอายของยาหอม



หากคนไทยเพ่งพินิจข่าวสารต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศของเรา ทั้งข่าวความพยายามในการผลักดันการเจรจาการค้า FTA ไทย ญี่ปุ่น การประกาศขยายสาขาของร้านสะดวกซื้อในปี ๒๕๕๐ อีกห้าพันสาขาทั่วประเทศ การชุมนุมประท้วงของกลุ่มค้าปลีก การขยายตัวของร้านซูเปอร์สโตร์ทั่วพื้นที่ประเทศไทย การลักลอบจดสิทธิบัตรมะละกอไทย การแย่งยึดโครงข่ายโทรคมนาคมไทย การถือสัมปทานโทรคมนาคมโดยกลุ่มทุนต่างด้าว ความพยายามในการเดินหน้าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ความพยายามในการดำเนินโครงการสัมปทานเหมืองโพแทสที่ โนนสูง อุดรธานี การเข้ายึดที่ดินของเกษตรกรที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวในภาคอีสาน

ข่าวสารที่กล่าวมา ล้วนเป็นประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศชาติ จนถึงขั้นที่อาจกล่าวได้ว่า ข่าวสารทั้งหมดล้วนส่อแสดงถึงภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่กรุงรัตนโกสินทร์เคยเผชิญภายหลังจากยุคแห่งการไล่ล่าอาณานิคม ซึ่งในครั้งนั้น พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงพระปรีชาสามารถนำพาประเทศชาติรอดพ้นภัยพิบัติจากการตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งได้อย่างสวยงาม

เมื่อกลับมามองข่าวสารต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดจะพบว่า ประเทศไทยเรากำลังเผชิญกับปัญหาที่กินลึกทั้งจากตัวโครงสร้างภายในประเทศ และบริบทแวดล้อม โดยในบรรดาเหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมามี ธาตุแท้ที่สถิตอยู่ภายใน ทั้งสิ้น สามประการ คือ

หนึ่ง ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยคุกคามร้ายแรงจากระบอบทุนสามานย์ในการมีอิทธิพลเหนืออำนาจอธิปไตยที่มีไว้เพื่อปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

สอง ผู้ปกครองประเทศ ขาดความรู้ความเข้าใจและไม่เอาใจใส่ต่อภัยคุกคามจากระบอบทุนสามานย์

สาม ขบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนไม่มีพลังเพียงพอในการขับเคลื่อนสังคมเพื่อข้ามพ้นภัยคุกคามร้ายแรงได้

จากธาตุแท้ ทั้งสามประการอาจกล่าวสรุปได้ว่า “กรุงรัตนโกสินทร์กำลังเผชิญหน้ากับการล่าอาณานิคมครั้งยิ่งใหญ่ที่หนักหนาสาหัสกว่าครั้งก่อนเสียอีก” ความยิ่งใหญ่ของมันถึงขั้นที่คนไทยส่วนใหญ่อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังเผชิญหน้าอยู่กับมัน หรือหลายคนทำนิ่งเสีย ด้วยการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ สภาพเช่นนี้ไม่ต่างจากสภาพเหตุการณ์บ้านเมือง ภายในกำแพงพระนครศรีอยุธยา ในวันที่พม่ากำลังส่งกองกำลังเข้าโจมตีอย่างหนักหนาสาหัส

เค้าลางแห่งความล่มสลายดังกล่าวได้ปรากฏชัดแล้ว จากความเคลื่อนไหวเล็กๆของนักวิชาการบางท่าน เช่น ดร.ไสว บุญมา ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “สู่จุดจบประเทศไทย” เป็นดอกไม้จันท์วางบนเชิงตะกอนไว้เรียบร้อยแล้ว หรือ นักวิชาการผู้ผ่านร้อนหนาวผ่านหนาวมาเนิ่นนานอย่าง ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ กำลังใช้ความพยายามเพื่อยื้อชีวิตของประเทศไทยที่ลมหายใจรวยรินให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยแนวทาง “ราชประชาสมาสัย”

ทำไมผมจึงกล้ากล่าวว่า “กรุงรัตนโกสินทร์กำลังล่มสลาย” การจะทำความเข้าใจประเด็นข้อนี้ คงต้องย้อนหลังกลับไปตั้งต้นที่ธาตุแท้ของปัญหาทั้งสามประการ

หนึ่ง ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยคุกคามร้ายแรงจากระบอบทุนสามานย์ในการมีอิทธิพลเหนืออำนาจอธิปไตยที่มีไว้เพื่อปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

ระบอบทุนสามานย์มีกองทัพสำคัญสามทัพ

กองทัพแรก คือ กองทัพข้อมูลข่าวสาร ที่เดินทัพผ่านระบบการศึกษา สื่อสาธารณะและสื่อส่วนบุคคลอย่าง อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ ทัพนี้มีหน้าที่ทำให้ข้าศึกยอมสยบด้วยการมอมเมาเชิงวัฒนธรรม ทั้งการศึกษาวิชาการแขนงต่าง ภาพยนตร์ เพลง มิวสิควีดีโอ โฆษณาสินค้า ภายใต้ปรัชญาของกองทัพที่ว่า “หากเปลี่ยนจิตวิญญาณได้ แขนขา องคาพยพ ย่อมทำงาน” หรือตามที่ซุนวูกล่าวไว้ว่า “ทำให้ข้าศึกยอมสยบเป็นยอด ต้องโจมตีข้าศึกป็นรอง”

กองทัพที่สอง คือ กองทัพคู่ ระหว่าง กองทัพทุนที่สั่งสมไว้ตั้งแต่ยุคล่าเมืองขึ้น และกองทัพกฎหมาย กองทัพกฎหมายมีหน้าที่รับใช้แนวความคิดเสรีนิยมสกุล นีโอ ริเบอรัล ที่ถูกแปลงร่างเป็นฉันทามติวอชิงตันอันหมายถึง ลัทธิ นีโอ โคโลเนี่ยล (ลัทธิล่าเมืองขึ้นใหม่) กองทัพทางกฎหมายช่วยปูทางให้เกิดกระบวนการจัดทำข้อตกลงระหว่างประเทศทั้งแบบพหุภาคี และทวิภาคี (FTA) หรือกระทั่งส่งอิทธิพลเข้าเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมายภายในประเทศ เช่นกรณีกฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายว่าด้วยใช้และเชื่อมโยงโครงข่ายโทรคมนาคม ทั้งหมดเพื่อปูทางให้กองทัพทุนจากประเทศต่างๆเข้ามาดูดซับทรัพยากรของประเทศอื่น ผ่านตลาดหลักทรัพย์โดยผิดกฎหมาย

ทัพสาม คือ กองทัพแสนยานุภาพ อันได้แก่กองกำลังติดอาวุธชนิดต่างๆ เช่นในกรณีที่อเมริกาส่งกองกำลังเข้าไปในอิรัก หรือในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งมีเป้าประสงค์สำคัญในการยึดกุมจุดยุทธศาสตร์ทางทรัพยากรเพื่อดำรงความมั่งคั่งจอมปลอมของประเทศตนต่อไป

สอง ผู้ปกครองประเทศ ขาดความรู้ความเข้าใจและไม่เอาใจใส่ต่อภัยคุกคามจากระบอบทุนสามานย์

กองทัพสองกองทัพแรกของลัทธิล่าเมืองขึ้นใหม่ ได้คืบคลานเข้ายึดพื้นที่ของประเทศไทย เกือบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว โดยไม่ต้องใช้กองทัพแสนยานุภาพทางทหารแต่ประการใด ทั้งนี้เนื่องจาก ผู้ปกครองประเทศในหลายยุค หลายสมัย ขาดความเข้าใจในการต่อสู้กับกองทัพนักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุครัฐบาลทักษิณ นอกจากจะไม่ต่อสู้แล้ว ยังฉกฉวยโอกาสดังกล่าวเพื่อตักตวงทรัพยากรของประเทศชาติประชาชนแบบผสมโรง จนกระทั่งเกิดการชุมนุมเคลื่อนไหวจนนำไปสู่การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายนที่ผ่านมา

คณะ คปค.ที่แปลงร่างเป็น คมช.ได้ขึ้นมากุมสภาพการปกครองประเทศไทย บรรยากาศในช่วงแรก หากเปรียบสังคมไทยเป็นคนป่วยใกล้ตายด้วยโรคร้าย คปค.ก็เปรียบเสมือนยาหอม ที่คนเฒ่าคนแก่ ชอบใช้ เป็นยาสามัญประจำทุกโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรคนไทยโบราณมักใช้ยาหอมเป็นยาครอบจักรวาล ช่วยให้มีกำลังวังชา หอมอบอวล พอทุเลาโรค

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภัยคุกคามหรือโรคร้ายจากระบอบทุน นักล่าเมืองขึ้นก็ยังสำแดงอาการอยูไม่หยุดหย่อน ในขณะที่กลิ่นยาหอมก็เริ่มบรรเทาเบาบางลง พร้อมกับกลิ่นเน่าเหม็นจากสังขารประเทศเริ่มส่งกลิ่นโชยออกมา จากเหตุการณ์ความเดือดร้อนต่างๆที่ได้กล่าวไปแล้วในช่วงต้น
การใช้ยาหอมในการรักษาโรคร้าย กระทั่งการดันทุรังกินของแสลง นานาชนิด แสดงออกอย่างชัดเจนถึง การขาดความรู้ความเข้าใจและไม่เอาใจใส่ต่อภัยคุกคามจากระบอบทุนสามานย์ มิติการมองปัญหาของทหารคงไม่สามารถนำมาใช้ได้กับกองทัพและเส้นทางเดินทัพของข้าศึกในยุคโลกาภิวัตน์เป็นแน่แท้

ด้วยเหตุนี้ ระบอบทุนสามานย์จึงสามารถสถาปนากองทัพข้อมูลข่าวสาร เผยแพร่วิถีบริโภค มอมเมาประชาชน และเยาวชนจนเหลวแหลก กองทัพกฎหมายและทุน สามารถสถาปนาสถานีการค้าสะดวกซื้อ แทบจะทุกทั่วหัวระแหง ไม่ต่างจาก บริษัท อีสอินเดียในอดีต ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศทาสเกือบจะสิ้นเชิง

สาม ขบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนไม่มีพลังเพียงพอในการขับเคลื่อนสังคมเพื่อข้ามพ้นภัยคุกคามร้ายแรงได้

สถานการณ์ประเทศไทยในปี ๒๕๔๙ ที่มีพลวัตขับเคลื่อนอำนาจรัฐให้ตกอยู่ในมือของ คมช. ล้วนมีที่มาจากความเคลื่อนไหวของประชาชน ในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีเป้าหมายหลักในการกดดันให้นายทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

เมื่อเกิดการรัฐประหารกระบวนการเหล่านี้ก็สะดุดหยุดลง พลังประชาชนก็แยกสลาย สถานการณ์ในภาคประชาชนกลับกลายเป็นการผลุบโผล่ของคลื่นใต้น้ำ คลื่นบนดิน ที่ต่อต้าน คมช. ในขณะที่พลังประชาชนพันธมิตรฯต้องตั้งสงบเพราะเกรงสถานการณ์จะบานปลาย กลายเป็นการปะทะ ด้วยเหตุนี้ สภาพของกองกำลังประชาชนจึงตกอยู่ในสภาพที่ต้องเคลื่อนไหวผ่านสื่อสาธารณะที่ยังจำกัดวงแคบ และไม่มีพลังเพียงพอ

ความไม่มีพลังเพียงพอดังกล่าวหมายถึง ความไม่มีพลังเพียงพอในการเข้าเปลี่ยนแปลงสภาพของอำนาจอธิปไตยให้สามารถสู้รบปรบมือกองทัพทุนนิยมนักล่าเมืองขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ กองทัพทุนนิยม จึงยังคงเดินหน้าเข้ารุกรานอำนาจอธิปไตยของประเทศชาติ ผ่านระบบข้อมูลข่าวสาร ผ่านตัวบทกฎหมาย ผ่านการประนีประนอมกับอำนาจรัฐอย่างไม่หยุดหย่อน และนั่น คือดัชนีชี้วัดว่า ภูมิคุ้มกันของประเทศไม่อาจเข้าไปเยียวยารักษาสังขารประเทศที่กำลังดมยาหอมได้ทันท่วงที เมื่อเป็นเช่นนั้น หายนะของประเทศไทยในนามกรุงรัตนโกสินทร์คงต้องเดินหน้าสู่ความล่มสลายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

สังขารประเทศไทยกำลังเผชิญโรคภัยขั้นรุนแรง ความดำรงอยู่ของประเทศชาติกำลังถูกทุบทำลายอย่างหนักหน่วงจากทุนนิยมสามานย์ และลัทธิล่าอาณานิคมใหม่ การแก้ปัญหาประเทศชาติของ คมช. รัฐบาล สนช.เป็นเพียงยาหอมครอบจักรวาล ที่ไม่อาจเยียวยารักษาประเทศนี้ได้

ประเทศไทยในนามกรุงรัตนโกสินทร์กำลังต้องยาขนานเอก คือ การปฏิรูปขนานใหญ่ โดยมีเงื่อนไข คือ การปฏิวัติประชาชน

โจทย์ข้อสำคัญ คือ

เราจะร่วมกันสร้างเงื่อนไขดังกล่าวได้อย่างไร เมื่อกลิ่นยาหอมยังคงตลบอบอวลอยู่เช่นนี้ !

..........
ตีพิมพ์ใน หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ราวๆเดือนมกราคม

4 comments:

Anonymous said...

ไหแลนด์ ได้เท่านี้ แหละท่านเมฆา

Chanesd said...

ประเทศไทย แผ่นดินของเรา

หากคนทุกคนทำตามหน้าที่ของตนเองได้อย่างดี คงจะไม่ล่มสลายเร็วเช่นนี้
นี่นอกจากรัฐบาลหน่อมแน้ม คือไม่ขึ้นกับทุน ก็ไม่กล้าสู้กับทุนแล้ว
ทุนยังเติบโตได้ง่ายเพราะความอ่อนแอในจิตใจของประชาชนส่วนใหญ่ รวมถึงการขาดปัญญาอีกน่ะครับ

เห็นได้ชัด ตอนนี้เจ้าของร้านสะดวกซื้อดังที่กล่าวไป ถ้าอยากครองประเทศเมื่อไรก็ทำได้สบายทันที เพราะควบคุมทั้งตลาด อาหาร การสื่อสาร ตลาดร้านสะดวกซื้อซึ่งสามารถเปรียบเสมือนสาขาพรรคของทุนนิยมได้ตลอดเวลา และพันธมิตรของกองทัพทุนทั้งหลาย

กองทัพต่างๆดังที่กล่าวในบทความ โดยเฉพาะสื่อสารมวลชน ข้อมูลข่าวสาร
เห็นได้ชัดเช่นกรณีทีวีของไอ การปลุกระดม และชี้นำคนเป็นเครื่องมือของทุนทางการเมือง และช่องนี้รับใช้ทุนเสมอ ทั้งที่เคยขึ้นชื่อว่า ทีวีเสรี

ส่วนประชาชนเป็นหมูในอวยกันต่อไป

สิ้นชาติสิ้นแผ่นดินแล้วหรือ ชนชาวไทย!

-โดย นศพ.ชเนษฎ์ ศรีสุโข

Anonymous said...

นายทุน กับรัฐบาล เป็นพวกเดียวกันมาในทุกยุค

Anonymous said...

แอบย้อนกลับมาอ่าน

ก็มีเหตุผลนะ