
นับครั้งไม่ถ้วนที่ข้าพเจ้ามีเวลาอย่างเหลือเฟือในการอยู่คนเดียว
การอยู่คนเดียวนานๆ ในมุมหนึ่ง ทำให้เราเหงาอย่างยิ่ง
และความเหงาก็มักเรียกร้องกระจกสำหรับส่องใบหน้าแห่งการดำรงอยู่
อย่างสม่ำเสมอ
แต่สรรพสิ่งย่อมมีสองด้านหรือมากกว่านั้น
การอยู่คนเดียวนานๆก็ทำให้เราได้มีเวลาครุ่นคิด
และตกผลึกอะไรบางอย่าง
ข้าพเจ้าจำได้ว่า หลายครั้งที่ข้าพเจ้าสั่นไหว
ดุจดั่งต้นไม้โยกคลอนถอนต้นด้วยลมพายุ
ข้าพเจ้ารู้จักรสชาติของมันมาตั้งแต่เด็ก
และตามกำลังสติปัญญาที่มีในแต่ละขณะ
ก็ส่องทางดิ้นรนเพื่อให้เรารอด
ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนที่ไม่ยอมแพ้
หน้าที่แรกสุด คือ ค้นหาวิธีทำอย่างไรให้ตนเองรอด
ในยุคสมัย สังคมได้สร้างกลวิธีมากมาย
สร้างที่พักและเปลือกป้ายมากมาย
ให้มนุษย์ได้สัญจรนอนพัก
บางคนหมกหมุ่นอยู่กับความสวยความงามแห่งเรือนร่าง
เกาะกุมสิ่งเหล่านั้นเอาไว้
เพราะถ้าไม่มีชีวิตมันก็แสนว่างเปล่า
บางคนไขว้ขว้าหากิจกรรมนานาเพื่อทุ่มเทโลกแห่งแสงสี
เข้าสู่ประสาทสัมผัส เพื่อบรรเทา ความว่างเปล่าเวิ้งว้าง
อันไม่มีที่สิ้นสุด
บางคนพึงใจอยู่กับเพศรสที่หนาแน่น
เสพความสุขผ่านประสาทสัมผัสนานา
บางคนบำบัดมันด้วยการจับจ่ายสรรพสินค้า
เสื้อผ้าแพรพรรณ น้ำหอม อัญมณี
ไวน์รสเลิศ
บางคนยึดเอาเปลือกป้ายปริญญามาก่ายกอดไว้จนแน่น
แต่แท้จริง คือ การปกปิดหัวใจดวงร้าว ที่ไร้หลักแหล่งแห่งนอน
เรา มนุษย์ล้วนเป็นผู้ชำนาญการในการเอาตัวรอด
ทั้งทางกาย
และโดยเฉพาะทางจิต
แท้จริงแล้วเราช่างเปล่าเปลื่อยและน่าเวทนายิ่ง
เราต่างช่วงใช้ซึ่งกันและกัน
เราหาซื้อวัตถุสิ่งครอง
ยึดถือการศึกษา ปริญญา
ยึดถือ อุดมการณ์ความคิด
เราสร้างระบบต่างๆ ขึ้นบน ความโลภ
เราขับเคลื่อน เสพ และซึมกำซาบไปกับมัน
ผ่านปราสาทสัมผัสและหัวใจอันตื้น ตัน
ชีวิตเมื่อขับเคลื่อนผ่านการเวลา
บางครั้งมันก็มีตะกอนนอนก้นอยู่มากเกินไป
จนเราไม่อาจไหลริน
และเมื่อวันหนึ่ง เรายินดีที่จะเดินตามโลกอย่างว่าง่าย
เราปวดร้าว แต่เราก็ไม่อาจขัดขืน
เราสิ้นแรง และเรายอมแพ้
เราเกิดและโตทางร่างกายและแน่นอน
ร่างกายของเรามีวันหมดอายุและเราเรียกมันผิดๆว่าความตาย
แต่ดวงวิญญาณของเราเหล่าพี่น้อง
ดวงวิญญาณที่ผลักดันเราเข้าสู่แถวเชิงตะกอน
เชิงตะกอนที่ผลาญเผาวิญญาณเราให้เกรียมไหม้
เราเกิดมาด้วยจิตใจพิสุทธิ์
แล้วหลังจากนั้น ครอบครัวก็จับเราเอาไป
โรงเรียนจับเราเอาไป
ในวันวัยหนุ่มสาว เราอาจดิ้นขืนขัดบางเล็กน้อย
แต่ในที่สุดเราก็ยอมแพ้กับความเลวทรามของสังคม
เรายินยอมลงหลักปักแหล่ง
แต่งงาน ร่วมเพศ และคลอดลูก
ลูกที่ออกมา ซึ่งมีอนาคตไม่ต่างจากเรา
และวันหนึ่งภารกิจต่างๆก็โถมทัยบดขยี้เรา
จนโงหัวไม่ขึ้น
ดุจเดียวกับปลาตัวเล็กที่ว่ายวนอยู่ในตะกอนนอนก้น
ลึกเข้าไปในหุบเหวหัวใจ
และเมื่อวันนึงมาถึง ความตายซากของจิตวิญญาณ
ก็จบลงด้วยความตายของร่างกาย
แต่เราก็ไม่รู้แน่ชัดว่า
วาระแห่งจิตวิญญาณมันจบลงหรือยัง
หากทุกอย่างหมุนเปลี่ยนดุจเดียวกับกระแสวารี
ที่ระเหยเหิดสู่ท้องฟ้าและกลับลงมาเป็นฝน
ชีวิตก็เป็นเรื่องที่น่าขนพองไม่น้อย
การเอาตัวรอด ออกจากชีวิต จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่
เป็นภารกิจอันเหลือล้นพ้นประมาณ
ที่เหมาะกับผู้กล้าเท่านั้น ไม่เหมาะกับผู้ยอมแพ้
และเดินตามๆกันไปสู่เชิงตะกอนทางจิตวิญาณ
...............
ข้าพเจ้านั่งมอง Isar ที่กลางนคร
กระแสวารีไหลผ่าน
บางที่ชีวิตก็เป็นดั่ง รอยขีดของกิ่งไม้
บนกระแสวารี
และกระบวนการทั้งหมดก็เกิดขึ้นในรอยขีดแห่งนั้น