Tuesday, April 28, 2009

ในโลกียะ คือ ตาข่ายที่ไม่มีช่องเล็ดรอดจากความทุข์


โลก คือ ตัวเรา คือ กายเรา คือ จิตเรา
เราที่แท้จริงหรือกระทั่งไม่มีเรา ถูกกักขังไว้ในโลก
เพื่อให้เราสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งภายนอก
โลกต้องสร้างมายาคติ เพื่อบีบเค้น กดดันเรา
ให้โลดแล่นไป
........
จากประสบการณ์ของข้าพเจ้า
สิ่งภายนอกมักสร้างความไว้วางใจให้กับเรา
เพื่อให้เราโลดไหลไป
เรา และคุณ ต่างโลดไหลไปในกันและกัน
เพราะกายเรา ใจเรา และสิ่งภายนอกล้วนเกี่ยวข้องกัน

มิใช่แต่เรา รวมถึง สังคมของเรา ทัศนคติของเรา
กิน กาม เกียรติ ที่เราใฝ่หา
ล้วนล่อลวงเรา
ชาติของเรา ความคิดของเรา
ตำแหน่ง อนาคต ความภูมิใจ
สายตา ความงาม
ล้วนเป็นเหยื่อล่อชั้นดี
กระทั่งความรัก
..........
เราอาจเรียกทั้งหมดว่า โลกียะ
โลกียะที่ครอบคลุมบีบเค้นหัวใจของเรา
หลอกเรา ให้เข้าหา ปรุงแต่ง พลังหลากชนิด
ครอบคลุมหัวใจของเรา
ให้เรายิ้ม หัวเราะ
ให้เราพอใจในรูปที่ปรากฏ
เสียงที่ได้ยิน
กลิ่นที่ได้ดม
รสสัมผัสที่ได้รับ
รสที่ได้ลิ้ม
กระทั่งมายาแห่งความรู้สึกทางใจ

.........

ประสาทสัมผัสแท้จริง คือ ซิมโฟนี วงใหญ่
ที่บรรเลง ออเคสตร้า แห่งชีวิตอันสลับซับซ้อน
เป็นวงที่มี สิ่งแวดล้อม รอบตัวเรา เป็นวาทยากร
มันบรรเลงเพลงหลายจังหวะในหัวใจเรา

เมื่อเวลาอันเหมาะควรมาถึง
เมื่อท่วงทำนองแสนหวานผ่านพ้น
ฉับพลันที่เราโง่อย่างได้ที่

ไวโอลิน แชลโล่ วิโอล่า เบส
ทรุมบ้า กีต้าคลาสสิก ก็เสียดสี
บรรเลง กระหน่ำ ความทุกข์ใส่โลกของเราไม่หยุดหย่อน
หัวใจของเราแทบไหม้ไฟ
และไม่มีที่ทางให้เราหนีรอดออกจากความทุกข์ได้เลย
...........

โลก คือ กายเรา ใจเรา
กายเรา ใจเรา ที่เปลี่ยนแปรมิหยุดหย่อน
กายเรา ใจเรา ที่หักมุมไปสู่ความทุกข์ไม่หยุดหย่อน
กายเรา ใจเรา ที่เราคิดว่าเป็นของเรา
แต่ที่จริง มันไม่ใช่เรา เพราะเราไม่เคยควบคุมมันได้เลย

...........

ในกายเรา ใจเรา พระพุทธองค์ เรียกสั้นๆว่า โลกียะ
แท้จริง คือ ตาข่ายที่ไม่มีช่องเล็ดรอดออกจากความทุกข์ได้เลย

เรากระทั่งผู้ที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุดแท้จิรงก็เป็นเพียงนกน้อย ปีกอ่อน
ที่ติดกับดักอย่างง่ายดาย
กับดักที่พร้อมจะบดเส้นใยของมันลงกลางหัวใจของเรา
และเมื่อลมพัด เส้นใยก็บิดเกลียวบาดลึกเข้ากลางหัวใจ
จนเลือดไหลโทรม เจ็บปวดเกรอะกรัง

.........

ด้วยความสัจ ข้าพเจ้ายอมรับว่าข้าพเจ้าเป็นมนุษย์บ้าบอคนหนึ่ง

แต่เชื่อไหม

ข้าพเจ้ากำลังหาทางออกจากมันให้ได้
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

แม้ว่าข้าพเจ้าจะบ้า

แต่ข้าจะไม่ยอมเป็นนกน้อยตัวนั้นอีกแน่นอน
เพราะชะตากรรมของมันโหดร้ายเกินไป

Monday, April 27, 2009

๓๑ แบบโง่ๆ


เมื่อสองสามวันก่อน ผมเพิ่งอายุครบ ๓๑ ปี
กิจกรรมหลัก คือ เรียนหนังสือ และ ดูตัวเอง
ยิ่งดูตัวเองมาก ยิ่งเห็นความโง่ในตัวเอง

ความโง่ มีรูปแบบมากมาย
ผุดพรายอยู่ตลอดเวลา

ยิ่งโต ยิ่งตระหนักถึงความโง่ของตัวเอง

ยิ่งโต ยิ่งเห็นความทุกข์อยู่รายรอบหัวใจ

.........

๓๑ ผมตระหนักว่า สงครามที่ยิ่งใหญ่

คือ สงครามต่อสู้กับความโง่ของตัวเอง

Monday, April 20, 2009

สีหนาทบันลือ


ฝูงสิงโต ย่อมเดินตาม จ่าฝูง
จ่าฝูง ต้องมีริ้วรอยแผล
เพราะริ้วรอยแผล คือสัญญลักษณ์แห่งการต่อสู้

ในรอยแผล ย่อมบ่งบอกบางห้วงเวลาที่ต้องเยียวยารักษา
แต่จ่าฝูง จะแกร่งขึ้น
และกลับมาบัญชาฝูงสิงโต
ด้วยสีหนาทบันลือ
เพื่อกู้ประกาศธรรม อันเป็นธงชัย
แห่งเรา

Saturday, April 18, 2009

ความฝันของบักคำม่วน


เพลิงผลาญรถเมล์เล่นราวเด็กซนประโดกจุดประทัดเล่นกลางกรุงเทพทวาราวดี
ไอ้เด็กซนคะนองคึกสาดไฟฟอนสุมขอนกลางใจพระนครและกลางใจผู้คนผู้รักสันติธรรม

ความเติบโตใต้สันดาน จากเด็กวิ่งซนขึ้นต้นไม้ ตะขบ มะยม มะไฟ
จบประถม มัธยม สันดานดิบก็กระโดดกระเดี้ยเรี่ยราด
เผลออีกทีพอนมแตกพาน ก็พบตัวเองกับเหงื่อไคลย้อย
กลางสนามโรงเรียนนายร้อย ตำรวจสุนัข วิ่งแข่งกับสุนัขตำรวจ

ยศถาบรรดาศักดิ์ อำนาจเงินตรา มิสำคัญอันใด
แต่สันดงสันดานกลับบานตะเกียงซุ่มเงียบในดวงจิต
ดาวร้อยประบ่าสวยยิ่งกว่าบ่าน้องนางระเรี่ยด้วยสยายผม

ดาวน้อย ร้อยตำรวจตรี สุรา นารี
รถไฟ เรือ เมล์ ลิเก ตำรวจ
เสือ สิงห์ กระทิง แรด เหี้ย ตำรวจ นักการเมือง
ชาติพันธ์วรรณามิใช่แบ่งแยกแค่ สัตว์ พืช หรือ ผิวพรรณ


นกไม่สามารถบินแบบระยำได้
สิงโตกระโดดฟาดกรงเล็บลงหลังกวาง อิ่มแล้วก็นอนใต้ต้นไม้
จระเข้ ชาละวัน พิจิตร งับเงิบๆ พออิ่มก็นอนอ้าปากเบิกบาน

คนกับสันดาน ขยายกรอบขอบเขต กู กันยกใหญ่
อวิชชา เป็นมูล พระพุทธองค์กล่าวแบบสุภาพ โฉน ลำไพ แปลเป็นไทยว่า โง่

ฮิตเล่อ กิสข่าน นโปเลียน อีดี้ มากอส ปิโนเช่
คนเหล่านี้ เคยเท่ห์เพราะมีพวกสุนัขคอยยกยอ
สันดาน สันดอน อ้ายสี อีเพ็ญ สองผัวเมียชาวไร่
ช่วยขุดเท่าไร คงไม่ขึ้น

อีลำไย ยังนั่งฟังกอฟ ไมค์ อยู่ใต้ต้นมะขวิด
สาวนาสั่งแฟนตกกระป๋องเมื่อ นักร้องไทยกระแดะเป็นเจ Pop
เสียงเครื่องขยายเสียงสิบแปดหลอด ของ ส.ส.
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เชิญชวน ให้ไปร่วมการปฏิวัติเปรต

สันดานการเมือง ยังถ่ายทอด แพร่พันธ์
แม้บักสี อีจำปา จะนอนก่ายกันข้างกองฟาง
แต่ความสุขง่ายๆของไอ้อี
บรรดา พณ หัวเจ้าท่าน ไม่พอเพียง


บักสี อีจำปา แจ้ง ใบตอง โฉนลำไพ
ตายห่าไปนานแล้ว

ไอ้จุกร้องงอแง เมื่อพลักตกต้นตะขบ
ไอ้แดงยืนหัวเราะ
ตาสี นั่งตกปลา
มวนใบยาสูบ
..............

พระนคร จะเป็นอย่างไร
ก็ช่างหัวมัน

กรูไม่อาจขุดสันดอนใครได้

บักม่วน อุทาน บนกกเสื้อใต้ต้นก้ามปู
ลมเย็นสบาย

.........

ไม่รู้ใครโง่ ไม่รู้ใครใหญ่ กว่าใคร
นั่นนะสิ

Friday, April 17, 2009

อภิสิทธิ์อย่าทอดทิ้งคนเสื้อแดง มองเมืองไทยหลังสงกรานต์วิปโยค



โดย ศาสตรา โตอ่อน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
มติชนรายวัน ๑๗ เมษายน ๒๕๕๒ หน้า ๗



การเกิดขึ้นของจลาจลในกรุงเทพมหานคร คือ ความขนพองสยองเกล้าในสายตาของพี่น้องชาวไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินทุกคน คือ การแสดงออกซึ่งการไร้ซึ่งอารยธรรมประชาธิปไตยที่ปรากฏต่อนานาประเทศอย่างมิต้องสงสัย

การจัดการสลายการชุมนุมของรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นสิ่งที่จำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และการปราบปรามของทหารเป็นการกระทำของฝ่ายปกครองที่ได้สัดส่วนอย่างไม่น่าเชื่อ

และต่อจากนี้การเร่งฟื้นฟูบูรณะประเทศต้องดำเนินไปอย่างละเอียดรอบคอบ ระมัดระวัง และสุขุมคัมภีรภาพ ซึ่งผมเชื่อมั่นว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะสามารถทำได้

แน่นอนที่สุด ณ วันนี้ คนเสื้อแดงกำลังกลายเป็นจำเลยของสังคม ทั้งสังคมไทยและสังคมโลก แต่เขาเหล่านั้นก็เป็นชาวไทยเหมือนกับเราท่าน ซึ่งข้อนี้ คุณอภิสิทธิ์ก็ได้แสดงความงามน้ำใจโดยการขอบคุณพี่น้องเสื้อแดงที่ให้ความร่วมมือในการสลายการชุมนุมโดยการเดินทางกลับบ้าน เดินทางกลับสู่ชีวิตเดิมๆ คือ ชีวิตที่เกี่ยวพันกับราคาพืชผลตกต่ำ รายได้น้อย หวย และความสิ้นหวังและแน่นอนที่สุดจะไม่ให้เขาเหล่านั้นคิดถึงคุณทักษิณ ก็คงเป็นไปไม่ได้

แม้ทักษิณ ชินวัตร จะกระทำการสิ่งเลวร้ายไว้มากมาย แน่นอนที่สุดเขาต้องกลับมาเข้าคุกตามคำพิพากษาเพื่อดำรงไว้ซึ่งกระบวนการยุติธรรม แต่ทักษิณ ชินวัตร มิใช่หรือ ที่พี่น้องเสื้อแดงรู้สึกว่าเขาเป็นดังเพื่อนที่รู้ใจ เพื่อนที่เข้าใจความแร้นแค้นของเขาเหล่านั้น เพื่อนที่ครั้งหนึ่งเคยจุดประกายความหวังและยังความสุขให้กับเขาเหล่านั้น ผ่านโครงการหลากหลายที่พี่น้องเสื้อแดงรู้สึกว่าจับต้องได้

สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ไม่อาจมองข้าม และพี่น้องชาวไทยไม่ว่าสีเสื้อใดก็ไม่ควรมองข้าม

ความเกรี้ยวกราด ของพี่น้องชาวไทยเสื้อแดงที่แสดงออกในหลายวันที่ผ่านมา หลายคนอาจวิเคราะห์ว่ามีสาเหตุมาจากการรับเงิน หรือการสมัครใจกระทำอันเป็นผลจากการปลุกระดมของเหล่าแกนนำคนเสื้อแดง

แต่สิ่งที่ต้องพิเคราะห์ต่อไป คือ ทำไมคนไทยเหล่านี้ จึงต้องมารับเงินไม่กี่พันบาทเพื่อแลกกับการกระทำที่เขาเหล่านั้นต้องเสี่ยงภัยถึงชีวิต และทำไมการปลุกระดมมวลชนจึงได้ผล จนคนเสื้อแดงสมัครใจเข้าก่ออาชญากรรม

เขาเหล่านั้นรู้หรือไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นผิดกฎหมาย

แน่นอนที่สุดเขารู้ แต่อะไรที่ทำให้คนเหล่านั้น กระทำไปทั้งที่รู้ ลำพังการปลุกระดมก็อาจมีอาจมีผลมากมายต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนในชุมนุม แต่ผู้เขียนมีความเชื่อว่า ในบรรดาคนเสื้อแดง มีคนมากมายที่เขาต้องรู้สึกว่าสังคมไทยไม่มีความยุติธรรมสำหรับเขา ผู้เขียนใช่คำว่าสังคมไทยทั้งสังคม มิได้หมายถึงชนหมู่ใด ชั้นใด องค์กรหรือสถาบันใด แต่คือ สังคมทั้งสังคม ความอยุติธรรม ดังกล่าว

ผู้เขียนไม่ขออธิบายด้วยถ้อยคำในทางวิชาการซึ่งมีมากมาย และโดยส่วนใหญ่เป็นคำอธิบายโดยนักปราชญ์ฝรั่ง

แต่ความอยุติธรรมที่ว่า คือ ความรู้สึกที่คนเสื้อแดงจับต้องอยู่ทุกวันกับเงินรายได้ที่แสนต่ำ ความเหนื่อยยากและความฝันลมๆ แล้งกับหวยงวดต่อไป มันไม่มีนิยามทางวิชาการมาอธิบาย แต่มันเป็นความอยุติธรรมที่จับต้องได้ในความรู้สึกของคนเสื้อแดง สิ่งนี้กระมังที่ผลักดันคนเสื้อแดงให้กระทำการจลาจลได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ซ้ำยังมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องด้วยซ้ำ

ผู้เขียนจำต้องเขียนโดยไม่ใช่ข้อมูลหรือศัพท์แสงทางวิชาการ แต่ใช่ความรู้สึก เนื่องจากทักษิณ ชินวัตร เป็นอัจฉริยะในการเล่นและหาประโยชน์จากความรู้สึก หากไม่เข้าใจผ่านความรู้สึกของคนเสื้อแดง รัฐบาลอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์อันแสนเชื่องช้าและทึบซึม คงไม่อาจพัฒนาให้ดีขึ้นได้ ดังเช่นที่ปรากฏนโยบายต่างๆ ที่เดินตามก้นทักษิณ ชินวัตร ซึ่งผู้เขียนยังคงมีความเชื่อว่าหากทักษิณ ชินวัตร ไม่กระทำการคอร์รัปชั่น หรือมักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินไป สิ่งที่คนผู้นี้จะได้รับ คือ การเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งสองสมัยแบบครบเทอม พร้อมทั้งการครองอำนาจของพรรคไทยรักไทยได้อีกยาวนาน

และในอนาคตเขาอาจกลายเป็นรัฐบุรุษคนสำคัญของชาวไทยและชาวโลก

แม้ว่าตอนนี้คนเสื้อแดงจะกลับบ้านไปพร้อมกับความย่อยยับทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่คนเหล่านี้ไม่เคยได้รับส่วนแบ่ง เศรษฐกิจที่บรรดาอดีตวาณิชธนกิจ เช่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้รับ แต่คนเสื้อแดงไม่เคยรู้สึกถึงความกินดีอยู่ดีเฉกเช่นคนเมืองหลวงหรือชนชั้นกลาง

แน่นอนที่สุดที่การตอบคำถามสื่อของนายอภิสิทธิ์ต่อสำนักข่าว CNN และ BBC นายอภิสิทธิ์จะกำชัยทั้งในเชิงภาษาและความชอบด้วยกฎหมายเหนือ ทักษิณ ชินวัตร อย่างไม่เห็นฝุ่น

แต่สิ่งที่นายอภิสิทธิ์จะต้องทำ และต้องยอมรับ คือตลอดมาพรรคประชาธิปัตย์ ได้แต่กินฝุ่นเรื่องนโยบายของทักษิณ ชินวัตร และทำได้แต่อาศัยการช่วงชิงจังหวะทางการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาล

สิ่งเหล่านี้เป็นช่องโหว่ของประชาธิปัตย์ที่นายอภิสิทธิ์ต้องอุดรอยรั่วให้ได้ มิใช่เพื่อประชาธิปัตย์แต่เพื่อนคนไทยทุกคน

เหตุการณ์การเมือง สงกรานต์วิปโยค แม้จะยังความเศร้าสลดหดหู่มาสู่หัวใจเราท่านชาวไทยทุกคน เพราะภาพความรุนแรงปรากฏชัดผ่านสื่อและการกระทำเย้ยกฎหมายเป็นสิ่งที่ต้องจัดการ ตามหลักนิติรัฐและนิติธรรม

แต่ความสลดหดหู่ของชีวิตชาวเสื้อแดง หรือคนยากจนในต่างจังหวัดในทุกเมื่อเชื่อวันบางทีอาจโหดร้ายและซึมลึกยิ่งกว่าการเผารถประจำทางซึ่งเป็นเพียงอาการของโรคมะเร็งการเมืองไทย

คุณอภิสิทธิ์เมื่อคุณได้รับโอกาสและคุณพาชาติรอดมาได้ในวิกฤตที่ผ่านมา ขอวิงวอนให้คุณอย่าทิ้งคนเสื้อแดง เหมือนที่เหล่าแกนนำกำมะลอของเวทีคนเสื้อแดงทอดทิ้งตามยถากรรม ผู้เขียนพูดในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่อยากเห็นความวัฒนาสถาพรของประชาชนชาวไทยและกรุงรัตนโกสินทร์สืบไป

Tuesday, April 14, 2009

โกยเถอะโยม



สมัยก่อนแถบภาคกลางชอบมีเสืออาละวาด
เสือมันอยู่กันเป็นชุม
ออกปล้นฆ่า ไม่มีเว้น
เป็นเรื่องราวของยุคไกปืนเที่ยง

มา พ.ศ.นี้
ชุมโจรแตกแล้ว


ภาพหนึ่งที่น่าสังเวชหลังชุมโจรแดงแตก

พระที่เข้าร่วมกับชุมโจรแดง
หนีกลับวัด พร้อมกับพัดลม
ไฮโซจริงๆ


ในขณะที่หัวหน้าโจรไฮโซกว่า
นั่งเริงร่าดูความฉิบหายอยู่ดูไบ

Saturday, April 11, 2009

พ.ศ.๒๕๐๒


ผมได้ยินมาจากครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง
ท่านบอกว่า มีนักคณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ชาวไทยกลุ่มหนึ่ง
ท่านเหล่านี้มีความสามารถในการคำนวณเวลาได้อย่างแม่นยำ
จนราชบัญฑิตยสถานได้เชิญไปบรรยายให้ฟัง

แม้ว่า ณ วันนี้ ตามปฏิทินจะเป็น ปีพ.ศ.๒๕๕๒
แต่ตัวเลขดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนจากเวลาจริง
ประมาณ ๕๐ ปี

ดังนั้น ณ กาลปัจจุบัน พระพุทธองค์ทรงปรินพพานล่วงแล้ว
๒๕๐๒ ปี

ตามพุทธทำนาย คือ กึ่งพุทธกาล

ต่อนี้ บ้านเมือง โลก จะเข้าสู่ยุคตกต่ำ

จน พุทธศาสนา สูญหายในที่สุด

สรรพวิชาต่างๆ จะกลับมาทำลายตนเอง
ผู้คนจะมัวเมา จิตใจหนาหยาบขึ้น
มีแต่การแก่งแย่ง
คนเก่ง ปกครอง คนโง่

คนจน อยู่ในภายใต้อุ้งตีนคนรวยแบบโงหัวไม่ขึ้น

.........

ทางเดียว สำหรับผู้รอด
คือ ภาวนา

ตัวใคร ตัวมัน ครับ

Monday, April 06, 2009

เกล็ดเล็กๆราวๆ พ.ศ.๒๕๓๔


ผมค่อนข้างเป็นคนบ้า
ที่ผมเป็นคนบ้า
เพราะผมเห็นชัดๆว่า
มีความบ้ามากมายอยู่ในตัวผม

การที่ความทุกข์เพื่อนยาก
มาเยี่ยมเยือนเป็นประจำ
ทำให้ผมเริ่มสนใจ
ว่าเราจะออกจากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

การที่ผมเป็นเด็กบ้านนอก
ตอนอยู่ กทม.เพื่อเรียนหนังสือ
ก็อาศัยอยู่ในวัด
วัดไม่ได้สอนธรรมะอะไรให้ผม
เพราะพระในกรุงเทพก็อลัชชีดีๆนี่เอง

แต่วัดเป็นสถานที่ที่บ่มเพาะการฝึกฝนได้ดีมากๆ
ต้องตื่นตีสี่ ทำกับข้าวให้พระแก่ที่บิณฑบาตรไม่ได้
ต้องกลับวัดหลังเลิกเรียน
เพื่อทำงานวัดทุกชนิด
รดน้ำต้นไม้
กวาดลานวัด
ล้างถ้วยชาม
ตัดต้นไม้
บางทีก็หาลำไพ่
เวลามีคนมาไหว้หลุมศพในป่าช้า
ด้วยการให้บริการนานาชนิด
ได้รับทิปที่ละ ห้าสิบบาทบ้าง
ร้อยนึงบ้าง

เด็กวัด ก็มีทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่
บางทีก็ต่อยกัน ตีกันตามประสา
สู้ไม่ได้ก็เจ็บ ก็ร้อง
วันไหนสู้ได้ ก็ลองต่อยกับมันบ้าง
ก็เห็นว่ามันเจ็บเป็นเหมือนเรานี่หว่า

นั่นก็เป็นอาการบ้าๆจากประสบการณ์ชีวิต

............

ผมมีเพื่อนเป็นพระ
หลวงพี่พรชัย มหาเปรียญเจ็ด แฟนหงส์แดงเหมือนผม
หลวงพี่ยอด อดีตนิติรามเรียนไม่จบ เลยมาบวชไม่สึก
องค์นี้ชอบเล่าประสบการณ์วัยรุ่นสมัยเดอะพาเลซให้ผมฟัง
สามเณรหัวเหล็ก ศูนย์หน้าคู่หู พรีเมียร์ลีกหลังโบสถ์
หลวงพี่โก๋ เซียนหมากรุก ที่ผมแพ้ตลอด
หลวงพี่หนุ่ย ชอบนั่งเล่นวีดีเกมส์ ด้วยกัน

นึกแล้วก็ สนุกดี

.......

บางที การไม่ได้อยู่บ้านมาตั้งแต่เด็ก
ทำให้ผมได้สัมผัสชีวิตตามซอกซอยด้วยตัวเองมากมาย

เวลาเดินไปเรียนสวนกุหลาบ
ต้องผ่านแถวสะพานหัน
มีแต่บ้านคนจีน
บ้านเรื่อนแบบจีน
กลิ่นยาสูบ ไก่ต้ม ซาลาเปา
หนูท่อตัวเท่าแมวเดินตัดหน้า

พอเลยย่านจีน เข้าเขตแขกพาหุรัด
กลิ่นสาปแขก แกงกะหรี่ กลิ่นธูปกำยาน
คละคลุ้ง โต๊ะขายหมาก แขกขายถั่ว

เหตุนี้กระมัง ที่ผมชอบอะไรแบบจีนๆ
แขกๆ ชอบอ่านปรัชญาจีน
ศาสนาพุทธ นี่ก็ปรัชญาแขก
เพราะพระพุทธเจ้าเป็นแขก



ตกดึก บางทีไปเดินเล่นเยาวราช
หาอะไรกิน จนอ้วน
ตีสนุกเกอร์ ห้างคาร์เธ่
เดินดูอาหมวยวัยรุ่น
แต่ไม่กล้าจีบหรอก ใจปิ๊ด

เสาร์อาทิตย์ ตอนบ่ายไม่มีอะไรทำ
ไปเดินสะพานหัน สะพานเหล็ก คลองถม
มีแต่หนังโป๊ ขายเต็มไปหมด
บางทีผมก็ตีตั๋วหนังเข้าไปดูตามโรงหนังชั้นสอง
แน่นอน โรงหนังแถวนั้น ชอบมีข่าวอาแป๊ะ หัวใจวายตาย
ฮา ฮา

...........

อยู่วัด บางทีมันเหงานะ
มันไม่มีใครที่เอาใจเรา
เราต้องทำแต่งาน
เรียนหนังสือ

โลกในโรงเรียน
กับโลกในวัดช่างต่างกัน

เวลาไปโรงเรียนผมเดินอย่างภูมิใจ
เวลากลับวัด ก็พบความจริงเสมอ
ว่าเราเป็นเด็กวัด คนนึง

บางทีชอบมีอาซิ้มแก่ๆมาถาม
ว่าเรียนโรงเรียนนี่เหรอ
ก็ภูมิใจในฐานะเด็กบ้านนอกที่ได้เข้าเรียน
ในโรงเรียนที่คนกรุงเทพๆยังอยากเรียน
แต่พอเข้าวัด ก็กลายเป็นไอ้โตของทุกคน
ของทุกงาน
ของทุกถ้วยชามที่ต้องล้าง
จีวรพระที่ต้องซัก
กับข้าวที่ต้องทำ

.......

ในโลกของมายาคติแห่งการศึกษา
ผมกลายเป็นนักเรียนในโรงเรียน
ที่มีขุนน้ำขุนนางจบมาหลายคน

ในโลกของวัด
ผมคือ คนงานคนนึง
ที่ต้องทำงานอย่างเสมอหน้ากัน

.........

ช่วงเวลายีสิบกว่านาทีที่ผมเดินจากวัดไปโรงเรียน
และเดินจากโรงเรียนกลับวัดในตอนเย็น
ผมเดินผ่าน หลายความรู้สึก
หลายฉากองค์ของชีวิต

มันเป็นขณะเล็กๆ
แสนธรรมดา
ที่ซุ่มซ่อนความหมายในจิตใจ

ว่ามีหลายฉากองค์เหลือเกินที่เราต้องเฝ้าดู