Monday, April 06, 2009

เกล็ดเล็กๆราวๆ พ.ศ.๒๕๓๔


ผมค่อนข้างเป็นคนบ้า
ที่ผมเป็นคนบ้า
เพราะผมเห็นชัดๆว่า
มีความบ้ามากมายอยู่ในตัวผม

การที่ความทุกข์เพื่อนยาก
มาเยี่ยมเยือนเป็นประจำ
ทำให้ผมเริ่มสนใจ
ว่าเราจะออกจากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

การที่ผมเป็นเด็กบ้านนอก
ตอนอยู่ กทม.เพื่อเรียนหนังสือ
ก็อาศัยอยู่ในวัด
วัดไม่ได้สอนธรรมะอะไรให้ผม
เพราะพระในกรุงเทพก็อลัชชีดีๆนี่เอง

แต่วัดเป็นสถานที่ที่บ่มเพาะการฝึกฝนได้ดีมากๆ
ต้องตื่นตีสี่ ทำกับข้าวให้พระแก่ที่บิณฑบาตรไม่ได้
ต้องกลับวัดหลังเลิกเรียน
เพื่อทำงานวัดทุกชนิด
รดน้ำต้นไม้
กวาดลานวัด
ล้างถ้วยชาม
ตัดต้นไม้
บางทีก็หาลำไพ่
เวลามีคนมาไหว้หลุมศพในป่าช้า
ด้วยการให้บริการนานาชนิด
ได้รับทิปที่ละ ห้าสิบบาทบ้าง
ร้อยนึงบ้าง

เด็กวัด ก็มีทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่
บางทีก็ต่อยกัน ตีกันตามประสา
สู้ไม่ได้ก็เจ็บ ก็ร้อง
วันไหนสู้ได้ ก็ลองต่อยกับมันบ้าง
ก็เห็นว่ามันเจ็บเป็นเหมือนเรานี่หว่า

นั่นก็เป็นอาการบ้าๆจากประสบการณ์ชีวิต

............

ผมมีเพื่อนเป็นพระ
หลวงพี่พรชัย มหาเปรียญเจ็ด แฟนหงส์แดงเหมือนผม
หลวงพี่ยอด อดีตนิติรามเรียนไม่จบ เลยมาบวชไม่สึก
องค์นี้ชอบเล่าประสบการณ์วัยรุ่นสมัยเดอะพาเลซให้ผมฟัง
สามเณรหัวเหล็ก ศูนย์หน้าคู่หู พรีเมียร์ลีกหลังโบสถ์
หลวงพี่โก๋ เซียนหมากรุก ที่ผมแพ้ตลอด
หลวงพี่หนุ่ย ชอบนั่งเล่นวีดีเกมส์ ด้วยกัน

นึกแล้วก็ สนุกดี

.......

บางที การไม่ได้อยู่บ้านมาตั้งแต่เด็ก
ทำให้ผมได้สัมผัสชีวิตตามซอกซอยด้วยตัวเองมากมาย

เวลาเดินไปเรียนสวนกุหลาบ
ต้องผ่านแถวสะพานหัน
มีแต่บ้านคนจีน
บ้านเรื่อนแบบจีน
กลิ่นยาสูบ ไก่ต้ม ซาลาเปา
หนูท่อตัวเท่าแมวเดินตัดหน้า

พอเลยย่านจีน เข้าเขตแขกพาหุรัด
กลิ่นสาปแขก แกงกะหรี่ กลิ่นธูปกำยาน
คละคลุ้ง โต๊ะขายหมาก แขกขายถั่ว

เหตุนี้กระมัง ที่ผมชอบอะไรแบบจีนๆ
แขกๆ ชอบอ่านปรัชญาจีน
ศาสนาพุทธ นี่ก็ปรัชญาแขก
เพราะพระพุทธเจ้าเป็นแขก



ตกดึก บางทีไปเดินเล่นเยาวราช
หาอะไรกิน จนอ้วน
ตีสนุกเกอร์ ห้างคาร์เธ่
เดินดูอาหมวยวัยรุ่น
แต่ไม่กล้าจีบหรอก ใจปิ๊ด

เสาร์อาทิตย์ ตอนบ่ายไม่มีอะไรทำ
ไปเดินสะพานหัน สะพานเหล็ก คลองถม
มีแต่หนังโป๊ ขายเต็มไปหมด
บางทีผมก็ตีตั๋วหนังเข้าไปดูตามโรงหนังชั้นสอง
แน่นอน โรงหนังแถวนั้น ชอบมีข่าวอาแป๊ะ หัวใจวายตาย
ฮา ฮา

...........

อยู่วัด บางทีมันเหงานะ
มันไม่มีใครที่เอาใจเรา
เราต้องทำแต่งาน
เรียนหนังสือ

โลกในโรงเรียน
กับโลกในวัดช่างต่างกัน

เวลาไปโรงเรียนผมเดินอย่างภูมิใจ
เวลากลับวัด ก็พบความจริงเสมอ
ว่าเราเป็นเด็กวัด คนนึง

บางทีชอบมีอาซิ้มแก่ๆมาถาม
ว่าเรียนโรงเรียนนี่เหรอ
ก็ภูมิใจในฐานะเด็กบ้านนอกที่ได้เข้าเรียน
ในโรงเรียนที่คนกรุงเทพๆยังอยากเรียน
แต่พอเข้าวัด ก็กลายเป็นไอ้โตของทุกคน
ของทุกงาน
ของทุกถ้วยชามที่ต้องล้าง
จีวรพระที่ต้องซัก
กับข้าวที่ต้องทำ

.......

ในโลกของมายาคติแห่งการศึกษา
ผมกลายเป็นนักเรียนในโรงเรียน
ที่มีขุนน้ำขุนนางจบมาหลายคน

ในโลกของวัด
ผมคือ คนงานคนนึง
ที่ต้องทำงานอย่างเสมอหน้ากัน

.........

ช่วงเวลายีสิบกว่านาทีที่ผมเดินจากวัดไปโรงเรียน
และเดินจากโรงเรียนกลับวัดในตอนเย็น
ผมเดินผ่าน หลายความรู้สึก
หลายฉากองค์ของชีวิต

มันเป็นขณะเล็กๆ
แสนธรรมดา
ที่ซุ่มซ่อนความหมายในจิตใจ

ว่ามีหลายฉากองค์เหลือเกินที่เราต้องเฝ้าดู

No comments: