Wednesday, May 09, 2007

เสรีภาพในการเดินทาง


ผมเป็นนักเดินทางตั้งแต่เด็ก เป็นมันโดยความริเริ่มของพ่อ แม่

ความจริง คือ ผมไม่ได้อยากเดินทางเลย

ตอนเด็กๆคงไม่มีใครไม่อยากอยู่กับพ่อและแม่ และแพ็กกระเป๋าออกท่องเที่ยวเดินทาง

ผมก็เหมือนกัน ผมอยากอยู่กับพ่อแม่ของผม แต่ผมบังเอิญเกิดมาเป็นนักเดินทาง มันก็เลยต้องเดินทาง

........

ผมเดินทางตั้งแต่ หกขวบ เดินทางไปยังจุดหมายของคนอื่น

จุดหมายที่วาดหวังโดยมายาคติว่าด้วย "เจ้าคนนายคน" หรือ "ความเป็นใหญ่เป็นโต"
อันเป็น ความฝันของชาวชนบท แบบ Local Thai Dream

ณ วันนั้น ผมยืนอยู่ ณ ที่แห่งใหม่ ในวัยที่ไม่รู้จักอะไร วัยหกขวบ ในที่แห่งใหม่
รู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่ในโลกเลยสักคนเดียว ผมเคยร้องไห้บ่อยๆ ในตอนเด็ก ร้องไห้เพราะเอาแต่ใจตัวเอง
กระจองอแง อยากได้ของเล่น อะไรเทือกนั้น แต่ครั้งนั้น เป็นครั้งแรก

ครั้งแรกที่น้ำตาไหล ด้วยความรู้สึกที่ว่า ไม่มีใครอยู่ในโลกใบนี้เลย
มีเราอยู่คนเดียว ไม่มีพ่อ แม่ หรือ มีก็คิดว่าทำไมพ่อและแม่ใจร้ายจัง

...............

นับแต่นั้น ผมก็มีโอกาสได้เดินทางบ่อยขึ้น ผมเริ่มมีจุดหมายของตัวเอง
ผมก็ไม่แน่ใจว่านั่นคือจุดหมายของผม หรือ ผมเพียงแต่ยึดเกาะจุดหมายที่พ่อ แม่และสังคมยัดเยียดให้

การอยู่คนเดียว การเดินทาง บางที เมื่อดูรูปลักษณ์ภายนอกมันก็มีหน้าตา คล้ายกับ เสรีภาพ จนแทบจะแยกความแตกต่างไม่ออก
แต่เนื้อในของมันแท้จริงนั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ใครหลายคนในยุคสมัยแห่งความอ่อนล้า มักชอบออกท่องเที่ยวเดินทาง ไปตามจุดหมายต่างๆ
ไปตามภูเขา ทะเล สายหมอก แม่น้ำ ปราสาท ราชวัง หรือกระทั่งการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ
พวกเขาเรียกสิ่งนั้น ว่า การเดินทาง ที่มักเคลื่อบแฝงความรู้สึกซาบซ่านระบาดในหัวใจ ที่เขาทั้งหลายเรียกมันว่า เสรีภาพ

สำหรับผม นักเดินทางในวัยเยาว์
ผมกัลบรู้สึกว่า การเดินทางกับเสรีภาพเป็นคนละเรื่อง
ผมเคยเดินทางไปโดยไม่เคยรู้สึกเลยว่า ผมมีเสรีภาพ

ผมรู้สึกแต่เพียงว่า ทุกเที่ยวเดินทาง มีแต่น้ำหนักของเหตุการณ์ ผู้คน ที่คอยบีบเค้นเร่งเร้าหัวใจ
น้ำหนัก คือ กรงขัง ที่ขังหัวใจ ของเราไว้ใน ความสุข เสียงหัวเราะ ความเศร้า งานรื่นเริง กระทั่ง ความเจ็บปวดร้าวราน
แล้วการเดินทางจะเป็นเรื่องเดียวกับเสรีภาพได้อย่างไร ผมเคยคิดเช่นนั้น


และแท้จริง การเดินทางมันนำเราไปพบกับเสรีภาพ หรือ กรงขังกันแน่
....................

สำหรับผมเสรีภาพไม่ได้เกิดจากการที่เราได้ออกท่องเที่ยวเดินทาง หรือการได้ทำอะไรตามใจตัวเอง
นั่น ไม่ใช่เสรีภาพ หรือมันถุกอาจเรียกผิดๆว่า เสรีภาพ ก็ได้
เพราะเสรีภาพที่แท้ต้องไม่ใช่ เสรีภาพ จาก บางสิ่งบางอย่าง เช่น เสรีภาพที่ได้รับจากการเดินทาง
ที่ผมว่ามันไม่ใช่เสรีภาพ เพราะมันต้องพึ่งพิงบางสิ่งบางอย่างก่อน ต้องมีเงื่อนไขบางอย่างเกิดขึ้นก่อน เสรีภาพจึงมาได้

เสรีภาพที่แท้ ต้องไม่ผ่านประตูใดๆ เงื่อนไข ใดๆ หรือ การเดินทางใดๆ

สำหรับผม บางที การเดินทางก็มีส่วนช่วยให้ผมสามารถสลัดคืน ความไร้เสรีภาพได้เช่นกัน
เพราะขณะที่ผมออกเดินทางอย่างเดียวดาย มันเป็นโอกาสอันดี ที่ผมจะได้นัดพบกับตัวตน

ตัวตนอันหมายถึง

ร่างกายที่สร้างขึ้นจากฝุ่นและความตาย แบบที่กฤษณมูรติ กล่าวไว้

ความคิดที่แล่นเข้าออกอยู่ในหัวสมองโดยไร้การควบคุม

สัญชาตญาณที่เร่งเร้าให้เราต่อสู้ หิว กระหาย และร้ายกาจ

หัวใจ อวัยวะอ่อนบางที่ไร้เสรีภาพ ที่ถูกหุ้มห่อไว้ด้วย นานาอารมณ์

...........

ในการเดินทาง อันแสนยาวนาน นับแต่เยาว์วัย
ผมพบว่า การเดินทางที่แท้จริง เริ่มที่ลมหายใจและการภาวนา

ลมหายใจที่พาเราไปเฝ้าดู และตามรู้ แรงแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่สิงสถิตย์อยู่ในตัวเรา

ในการเดินทางกลับสู่ภายใน ผมก้มตัวลงต่ำๆ ค่อยๆถอยตัวเอง ออกมาจากตัวตน

สิ่งที่ผมพบ คือ เสรีภาพ

เสรีภาพที่ผนึกแนบแน่น เป็นเนื้อเดียว ในทุกย่างก้าวของการเดินทาง

ผมมีหน้าที่เพียงรักษา การรู้ ด้วยสติและลมหายใจ

ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้

...........

เมฆบ้า

8 comments:

noka said...

เรื่องที่คุณเล่ามีความคล้ายคลึงกัน--ประสบการณ์เยาว์วัย--วัยที่ยังไม่พร้อมจะจากอ้อมอกที่อบอุ่นของคนที่รัก แต่ด้วยเหตุผลสุดวิสัย ช่างเป็นภาพที่จำได้ไม่ลืม น้อยใจซะมากมาย...ชีวิตช่างเป็นเรื่องน่าแปลก

จริงนะที่การเดินทางไม่ใช่เสรีภาพ แต่มันคือการเรียนรู้ บางทีก็สนุก บางทีก็เหนื่อย ล้า พาลพบอุปสรรคที่ขรุขละให้จดจำ มันเหมือนพันธนาการด้วยซ้ำ

...เรามักจำความสุขได้เล็กน้อย แต่จำความเจ็บปวดได้แจ่มชัด...

แต่คนก็ยังรักการเดินทาง เสมือนเป็นการหนีออกจากสถานะภาพหนึ่งไปสู่สถานะภาพอ่ืนที่แตกต่าง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม

Chanesd said...

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมจะบอกว่า ผมเป็นคนล่ะดิวิชันกัน

เพื่อนผม นักเศรษฐศาสตร์ มักจะมีความมั่นใจในตัวเอง อัตตาสูงยิ่งกว่าหมอ มักจะบอกว่าผมด้อยกว่าเสมอทางด้านความคิดอ่าน

อาจจะจริง ยิ่งเปรียบเทียบกับอาจารย์ผู้ก้าวล่วงเดินทางมาก่อนผม ก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ดิวิชันล่างกว่ามาก


ประสบการณ์ และการเดินทาง สอนให้คนมีพัฒนาการทางความคิด
เร็วๆนี้ ผมเพิ่งเข้าใจบัวสี่เหล่าโดยผ่านประสบการณ์การสั่งสอน เปลี่ยนวัยรุ่นที่เป็นเด็กปัญหา ให้กลายเป็นคนดี ปกติของสังคม ก็ยากเหลือกำลัง

แล้วนับประสาอะไรกับการเปลี่ยนแปลงคุณภาพประชากรให้ดีขึ้น

ผมยึดติดมากเกินไป

บทสุดท้ายของอาจารย์กล่าวไว้อย่างน่าสนใจ และทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น

ผมยังเป็นวัยรุ่นตอนปลาย คนเขลาผู้บ้าพลัง แรงทะเยอทะยาน และฮอร์โมนเพศสูบฉีดมากมี




คงไม่มีทรราชย์คนใดใฝ่ฝันอยากเป็นทรราช์ตั้งแต่เด็ก ใช่หรือเปล่าครับ?

ขอบคุณมากครับอาจารย์


...ศิษย์ถ่อย ผู้กลัวกู่ไม่กลับ

Anonymous said...

เหนื่อยกับการเดินทาง อยากหยุด อยากตาย

crazycloud said...

สิ่งที่เหนื่อย ไม่ใช่ตัวเรา
สิ่งที่อยากไม่ใช่ตัวเรา

มันเป็นแรงอะไรบางอย่างที่ทดสอบเรา
ทดสอบความเข้มแข็งของเรา

แรงที่ชักนำเรา บีบเค้นเรา และอาจพาเรากับใครแยกห่างจากกันสุดลูกหูลูกตา

สำหรับโลก ที่ความดี หรือ ความชั่ว เป็นเพียงแรงเร่งเร้าอันหน่วงหนักบางประการ

มีแต่พื้นที่ของ ผู้ทรงปัญญา วิริยา และมีเมตตาเท่านั้น ที่จะอยู่รอด

ขอเป็นกำลังใจให้ ท่านรอด Sulvation แบบที่ข้าพเจ้าเคยต้องดิ้นรนให้พ้นมาหลายเพลา

Anonymous said...

ทำไงดีในที่ทำงานข้าพเจ้า มีแต่คนชอบใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ทำร้ายคนอื่น ไม่คิดในด้านดีๆกับคนอื่น ไม่รู้จักคำว่าเมตตา ท่านว่า เวรกรรมมันมีจริงมั้ย กรรมเวรมันจะสนองมนุษย์จิตใจโสโครกมั้ยท่าน

crazycloud said...

ในฐานะนักกฎหมายสาย Natural Buddha law
กฎหมายธรรมชาติ คือ กฎหมายสูงสุด

ข้าพเจ้าเองก็เคยกรรมเวรมาไม่น้อย ฮา ฮา
กฎแห่งกรรมมีจริง

และที่มนุษย์ยังคงมุ่งหน้าทำกรรมอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งดีและชั่วนั้น เพราะอะไรรู้ไหม

เพราะความไม่รู้ หรือ อวิชชา
เพราะอวิชาเขาจึงถูกแรงกรรมที่กำจิตครอบงำและผลักไสให้ดำเนินงาน

สิ่งที่ข้าพเจ้าเองก็ยังทำได้ไม่ดีนักทั้งที่พอรู้ปลาๆงูๆอยู่บ้าง
ก็คือ เราต้องให้อภัยคนที่ทำไม่ดี
เพราะอะไรน่ะหรือ

เพราะเขาเพียงแต่ไมรู้ถึงแรงกรรมที่ผลักไสเขา
เราเองพอฉลาดขึ้นบ้างเล็กน้อย ก็ควรเข้าใจเขา

เพราะเราเองก็ รวมถึงผมด้วย ก็โง่ หรือเคยโง่มาก่อน

ปัญญาเท่านั้น ที่ทำให้คนถึงความบริสุทธิ์ และ เสรีภาพ

เสรีภาพจะสัมผัสจิตของคุณ เมื่อกรรมหมดไป
อัตตาหมดไป
ไม่มีเขาหรือเรา
ไม่มีการแบ่งแยก
ไม่มีทั้ง Objekt และ Subjekt

และที่สำคัญ จงแลเห็นกรรมในตัวตนของเรา
คือ โทสะ ที่บีบคั้นหัวใจเรา
จงเมตตาต่อตัวเอง เพราะตัวเอง คือผู้เจ็บปวดมิใช่หรือ

ข้าพเจ้าเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากความโง่
มิใช่มือถือสากปากถือศีล

บางทีปีศาจต่างๆหากที่ปลดปล่อยเรา
มิใช่พระเจ้า

Anonymous said...

Gute Schreiben !
Ich glaube,dass du Politiker werden kann.
Fantastische Student von Goethe

deine Freud

Gruss Gott

noka said...

หลีกให้ห่างคนเหล่านั้นไว้ ก็ช่วยบรรเทาอาการบีบคั้นได้ในระดับนึง
คนที่คิดไม่ดีต่อคนอื่น .... ก็คงไม่มีใครคิดดีต่อเขาเช่นกัน

อภัยให้ความไม่รู้นั้น ทำได้ แต่จะอภัยแบบไม่สิ้นสุดเห็นจะไม่ไหว

ซักวันเมื่อเขาตื่นจากความไม่รู้ ตระหนักถึงสิ่งลวงที่เขาสร้างภาพหลอนว่าตัวกูแน่ (ไม่สุภาพนิดหน่อย) เขาอาจจะไม่เหลือใครที่จริงใจกับเขาเลย ...ไม่น่านาน...