Friday, May 19, 2006

กำลังใจแด่นักรบครุยดำ


กำลังใจแด่นักรบครุยดำ

ต้องยอมรับว่าสถานการณ์บ้านเมืองก่อนหน้า อยู่ในสภาพไร้ขื่อ ไร้แป

ต้องยอมรับว่า ระบอบทักษิณ คือตัวการสำคัญในการรื้อขื่อแปทิ้งจนเกือบเกลี้ยง

ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาองค์กรตุลาการ ทำหน้าที่เกี่ยวกับคดีการเมืองค่อนข้างน้อย เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญไม่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย

ต้องยอมรับว่า บ้านเมืองที่ไร้ขื่อแปนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องกลับสู่ภาวะการเมืองเต็มขั้น ภาวะดังกล่าวคือภาวะ แห่งสงครามการต่อสู้ระหว่าง กองทัพขายชาติ กับกองทัพกู้ชาติ

......................................................

ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นนักรบกู้ชาติ ทยอยการทำหน้าที่ของตน เรือนแสน เรือนล้าน

และในปัจจุบัน การศึกเปลี่ยนแนวรบ ด้วยเหตุจากฟ้า เราจึงแลเห็น เหล่านักรบครุยดำ ลงออกต่อตีกับ กองทัพขายชาติ

ด้วยเหตุนี้ จึงขอเป็นกำลังใจห่างๆให้นักรบครุยดำปราบปรามพวกขายชาติให้หมด

ขอให้นักรบครุยดำนำ ประโยชน์สุข กลับคืนสู่แผ่นดินแม่อีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้ แม้นักรบครุยดำต้องฝืนกับหลักการ แต่เพื่อบรรลุภารกิจยิ่งใหญ่ จึงออกต่อตีกับข้าศึกด้วยใจรักชาติ

ขอคารวะ นักรบครุยดำทั่วหล้า

....................................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

3 comments:

Anonymous said...

บทความ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง... ทั้งความเข้าใจต่อตัวเอง และต่อผู้อื่น

ที่มาแห่งบล็อกร้าง และสภาพการณ์ที่เป็นอยู่

สภาพการอ่อนน้อมไม่มี สภาพความถ่อมตัวไม่เกิด

บรรณาธิการบริหาร (มติชนสุดสัปดาห์ฉบับล่าสุด)

ไม่ว่าปราชญ์ทาง ศาสนา หรือว่าปราชญ์ทาง การเมือง ล้วนสอนให้ตระหนักในเรื่องการ ถ่อมตัว

มีอุปมามากมายเตือนให้ตระหนักในเรื่องของความอ่อนน้อม

ไม่ว่าจะเป็นอุปมาที่ว่า กลองดีต้องมีคนตี ไม่ว่าจะเป็นอุปมาที่ว่า เกวียนที่ว่างเปล่าย่อมส่งเสียงดัง

ไม่ว่าจะเป็นอุปมาที่ว่า รวงข้าวอ่อนลีบมักตั้งตรง ขณะที่รวงข้าวสมบูรณ์จะโน้มอ่อนลง

กระนั้น ลักษณะแห่งการถ่อมตัวก็มักจะไม่ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ ลักษณะแห่งการถ่อมตัวก็มักจะไม่ดำเนินไปอย่างสะท้อนถึง
ภาวะสุกงอมทางความคิด

บางครั้งก็เป็นการถ่อมตัวเพื่อหวังจะยกตัว เป็นไปในแบบอหังการ์สองชั้น

บางครั้งก็เป็นการถ่อมตัวอย่างไม่จริงใจ หากแต่เสแสร้งแกล้งทำ กระทั่งกลายเป็นการถ่อมตัวมากเกินไป

ทั้งๆ ที่การถ่อมตัวคือการยอมรับคนอื่น แต่เมื่อการถ่อมตัวเป็นไปอย่างไม่จริงใจ แต่เมื่อการถ่อมตัวดำเนินไปในแบบเสแสร้ง แกล้งทำ เสียแล้ว ผลก็กลับกลายเป็นตรงกันข้าม นั่นก็คือเท่ากับไม่ยอมรับคนอื่น

ในที่สุด ภายในอาการถ่อมตัวกลับกลายเป็นยกตัว ภายในอาการอ่อนน้อมกลับกลายเป็นความแข็งกร้าว

บนพื้นฐานการมองสรรพสิ่ง ไม่ว่าโลกธรรมชาติ ไม่ว่าโลกสังคม ล้วนดำรงอยู่อย่างมีพลวัต มีการเคลื่อนไหว มีการเปลี่ยนแปลง

การเข้าถึงสภาพความจริงในแต่ละสรรพสิ่งจึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง

เพราะว่าเมื่อแต่ละสิ่งมิได้สถิตนิ่งอย่างตายตัว เพราะว่าเมื่อแต่ละสิ่งดำรงอยู่อย่างเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง

สภาพความจริงภายในและภายนอกของแต่ละสรรพสิ่งก็ย่อมจะเป็น
อนิจจังไปด้วย

คนธรรมดาไม่ว่าจะเรียกว่าปุถุชนหรือเวไนยสัตว์จึงสามารถเข้าถึง
ความจริงได้เพียงในระดับหนึ่งเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ใครก็ตามที่เข้าถึงความจริงได้มากกว่าคนอื่น ใครคนนั้นก็มักจะได้รับยกย่อง

บรรดาปราชญ์ทั้งหลายจึงอยู่ในฐานะที่สามารถเข้าถึงความจริง
ได้เหนือกว่าบุคคลธรรมดาโดยทั่วไป

นั่นก็คือ คนที่ได้รับยกย่องให้เป็น "ศาสดา" คือ คนที่เข้าถึงความจริงได้ใกล้เคียงที่สุด

ใกล้เคียงในระดับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใกล้เคียงในระดับองค์พระเยซูคริสโตเจ้า ใกล้เคียงในระดับนบีมุหะหมัด

ใกล้เคียงในระดับขงจื๊อ ใกล้เคียงในระดับเหลาจื๊อ

สภาพที่ ด้าน 1 สรรพสิ่งมีลักษณะอันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ขณะเดียวกัน ด้าน 1 ส่งผลให้แต่ละคนสามารถเข้าถึงความจริงในแต่ละสรรพสิ่งได้
ไม่เท่าเทียมกัน ตรงนี้เอง ที่นำไปสู่คนหนึ่งรู้มาก คนหนึ่งรู้น้อย

หากตระหนักในสภาวะไม่เท่าเทียมเช่นนี้อย่างมีจิตสำนึกก็จะนำ
ไปสู่การรู้จักอ่อนน้อม ก็จะนำไปสู่การรู้จักถ่อมตัว

ในความเป็นจริงของการดำรงอยู่ก็ใช่ว่าคนจะบังเกิดสภาวะ
สำเหนียก สำนึกรู้ ได้อย่างชนิดอันจัดได้ว่าเป็น ความตื่นรู้อย่างแท้จริง

จึงดำเนินไปตามกรอบที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บัญญัติเอาไว้

นั่นก็คือ บ้างเป็นบัวในตม บ้างเป็นบัวใต้น้ำ บ้างเป็นบัวในน้ำ และบ้างเป็นบัวพ้นน้ำ ซึ่งทำให้สภาวะตื่นรู้มีความแตกต่างกันไปด้วย

แนวโน้มที่ไม่รู้จักตัวเองจึงสูงอย่างยิ่ง แนวโน้มที่ไม่รู้จักคนอื่นจึงสูงอย่างยิ่ง

ในเมื่อแม้กระทั่งตนเองก็ไม่รู้จัก เมื่อประสานกับการไม่รู้คนอื่น ไม่เรียนรู้สภาพความเป็นไปและเป็นมาของคนอื่น

จึงนำไปสู่บทสรุปที่ผิดในวิถีดำเนินไปแห่งชีวิต

จึงแทนที่จะยอมรับในความไม่รู้ของตน จึงแทนที่จะยอมรับในความที่คนอื่นรู้มากกว่า เก่งมากกว่า จึงไม่เกิดขึ้น จึงแทนที่จะอ่อนน้อม จึงแทนที่จะถ่อมตัว ด้วยสำเหนียกและสำนึกอันบริสุทธิ์และจริงใจ

สภาพจึงกลับกลายเป็นไม่อ่อมน้อม สภาพจึงกลับกลายเป็นไม่ถ่อมตัว

สภาวะแห่งการสำเหนียก สำนึกรู้ จึงขึ้นอยู่กับการตระหนักในลักษณะแห่งสายสัมพันธ์ ยึดโยง

เป็นสายสัมพันธ์ ยึดโยง ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวอันสะท้อนลักษณะอนิจจัง

สายสัมพันธ์ ยึดโยง ระหว่างแต่ละสรรพสิ่ง ด้าน 1 เรียกร้องการเรียนรู้ ด้าน 1 สะท้อนความจริงอันเป็นอนิจจัง

ความเป็นอนิจจังซึ่งดำเนินไปในท่ามกลางการเรียนรู้

crazycloud said...

ขอบคุณท่านผู้หวังดี ที่ตักเตือน

หากแต่ข้าพเจ้ามีเหตุผลที่ลึกล้ำกว่านั้น

ข้าพเจ้ามิใช่ทั้งผู้อ่อนน้อม หรือผู้ไม่อ่อนน้อม

บางครั้งหากท่านลองสังเกตว่า ความอ่อนน้อมถูกนำมาใช้เพื่อบรรลุประโยชน์ส่วนตน

บางครั้งความไม่อ่อนน้อม อาจมีบ่อเกิดมาจากบุคคลที่ที่มีจิตอหังการ

แต่ข้าพเจ้ามิใช่ทั้งสองอย่าง

แล้วข้าพเจ้าเป็นอย่างไร ณ ปัจจุบัน จิตใจข้าพเจ้าได้บรรลุซึ่งความว่าง ซึ่งเป็นธรรมชาติแห่งการรู้ที่ไม่มีอะไรสูงส่ง

การรู้ การตื่น ทำให้ข้าพเจ้ามองอะไรได้สว่าง

ข้าพเจ้า เข้าใจดีว่าความอ่อนน้อม ย่อมนำมาซึ่งมิตรมากมาย ในขณะที่ความไม่อ่อนน้อม ย่อมนำมาซึ่งการทำลายมิตร

แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าแสดงออก ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม ล้วนมีบ่อเกิดมาจากสิ่งเดียวเท่านั้น ที่ข้าพเจ้าพยายามพิสูจน์มาชั่วชีวิต คือ ความจริง

และวิถีไม่อ่อนน้อมของข้าพเจ้า แท้จริง คือ การไม่ยอมอ่อนข้อ ให้ความเท็จ ความไม่สว่าง ความไม่เข้าใจ
ถึงความทุกข์โศกของเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเหล่าบัณฑิตทั้งหลาย แสดงมันออกมาอย่างนุ่มนวล ยอกย้อน ไม่ทราบว่าท่านเคยสังเกตสิ่งเหล่านี้หรือไม่

ข้าพเจ้าเพียงแต่พิสูจน์ ความจริง ด้วยความดิบ ความถ่อย เพื่อจี้เข้าไปในดวงจิตของท่านดูซิว่า ท่านจะร้อนหนาวกันปานใด และนั่นคงสร้างความปั่นป่วนในดวงจิตแก่พวกท่าน จนบล็อกข้าพเจ้าร้างไปเลย ฮา ฮา

ดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าไม่เคยมีเจตนาร้าย แต่ข้าพเจ้าต้องการสั่งสอนด้วยความหนักหน่วง ว่าพันธะหน้าที่ของเหล่าบัณฑิตมิใช่การนั่งแสดงภูมิรู้ที่ไร้ราก ออกมาอย่างน่าขบขัน

หากท่านยกบทความมาตักเตือนหาว่า ข้าพเจ้าขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ก็มองผิด ข้าพเจ้าเพียงสอนให้พวกเขาเหล่านั้น ตระหนักรู้ถึงความเกลียดชังภายในตนเท่านั้น

ในขณะที่บทความนี้ข้าพเจ้ารับไว้พิจารณา เพื่อให้ท่านเองนั่นแหละ และเหล่าบัณฑิตทั้งหลาย พึงพิจารณาด้วยตัวเอง ว่าตัวท่านกำลังตัดขาดหรือไร้ปฏิสัมพันธ์กับ ประชาชน หรือไม่

สำหรับข้า เมื่อสำรวจตน ข้าพเจ้าไม่ได้ผิดอะไร ท่านนั่นแหละที่ผิด ทำไมนะหรือ เพราะข้า ทำผิดมาเยอะแล้ว จนรู้แล้วว่าอะไรคือความจริง ในขณะที่ท่านเรียนรู้อะไรบ้างจากการรบรากับข้าพเจ้า

ข้าพเจ้า อ่อนน้อมเสมอ กับ โลก จักรวาล และมาหประชาชน เพื่อนมนุษย์ แต่ข้าพเจ้าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับ "ความลวง" เด็ดขาด

นี่คือ วิถีของ ข้าพเจ้า เมฆบ้า

Anonymous said...

เอาใจช่วยด้วยคนว่ะ

เพราะคนเรามักเผชิญหน้ากันด้วยความเสแสร้ง หลอกลวง แม้แต่กับพ่อแม่ หรือคนที่รัก ก็ยังเสแสร้ง หนีความจริงต่อกัน

อย่างนี้แหละ นำความชินชามาสู่สังคม จนยอมรับกันว่า การยิ้มเข้าหากัน นอบน้อมถ่อมตนเข้าหากัน แต่พอรับหลังกลับติฉินนินทา มันจึงเกิดขึ้นเป็นปกติในสังคม... หรือว่าไม่จริง?

ผมคือ คนที่นายโต รู้สึกไม่ชอบถึงเกลียด ตั้งแต่ที่มันเจอผมครั้งแรกๆ (สิบกว่าปีแล้วเน๊อะ) เพราะผมไม่เคยเสแสร้งต่อการกระทำที่ออกมาจากจิตและกายของผม...

...มันรับไม่ได้นะสิ ก็เลยพาลเกลียดเข้าให้

มาตอนนี้เป็นงัย... มันกลับบอกว่า มันรู้แล้วว่าทำไมผมถึงเป็นเช่นนั้นมัน เพราะผมพูดและทำในสิ่งที่เรียกว่า "ความจริง" มาตลอด และมันก็เป็นดั่งนั้น

เห็นได้ชัดว่า การหยิบยื่นความจริงให้คนอื่นในสังคมนี้ กลับเป็นหอกทำร้ายตัวเอง และสร้างศัตรู (เหมือนใครหว่า) เพราะสังคม (จริตของคนส่วนมาก)ไม่ยอมรับ มันจึงต้องเสแสร้งเข้าหากัน

ผมเป็นคนเรียกร้องความรู้สึกขอมผมมาตลอดว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ผิดคือผิด ถูกคือถูก ได้คือได้ ควรว่าควร ไม่ได้ไม่ควรก็ไม่ทำ

จิตของคนที่ยังไม่ตระหนักรู้ ถึงจุดนี้ต่างหากล่ะ ที่มีมากมายนัก และไม่สามารถก้าวข้ามมาถึงจุดที่เรียกว่า...

..."การยอมรับความจริง"...ได้


ปัญหา ละสิ ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ

เอาจิตตัวเองตัดสินแล้วกัน

หรือถามเจ้าของบล็อกก็ได้

ไปดีกว่า

Crazy Baki