Monday, May 29, 2006

พักรบ


พักรบ

ดูเหมือน ผมจะกลายเป็นนักกฎหมาย โง่ คนนึงในสายตานักกฎหมายรุ่นน้องหลายคน โดยเฉพาะ นักกฎหมายสายฝรั่งเศส และลิ่วล้อ

ดูเหมือนผมจะกลายเป็น บอกเกลอ หยาบคายและน่ารังเกียจประจำปี ทั้งที่เมื่อต้นปีเพิ่งได้รับรางวัลบลอกเกลอน่ารู้จักที่สุดจาก Minnymim มาอุ่นๆ

โอ เค โง่ ก็ โง่ ถ้าอยากให้ผมโง่ โดยเฉพาะบางคนถึงกับพาลนินทาลับหลังหาว่าผมเป็นพวกไร้หลัก ไร้ค่าย ทั้งที่ ผมก็ สวนกุหลาบ นิติ มธ.ตรี โท เนติบัณฑิตไทย ซึ่งในทางวิชาการแล้วผมก็สามารถไปสอบเป็นตุลาการกู้ชาติกับเขาได้เหมือนกัน (ไม่ได้โม้นะ เพราะสอบสนามเล็กพอสู้ไหว แต่ถ้าสนามใหญ่ขอบายเพราะหมดแรงขอรับ)

โอ เค หยาบคายน่ารังเกียจ ก็น่ารังเกียจ ผมยอมรับ เพราะแถวบ้านผมก็พูดกันตรงๆ ด่ากันหยาบแบบนี้แหละครับ โดยเฉพาะเวลาเจอความไม่ถูกต้องชนิดคอขาดบาดตาย ผมไม่ปฏิเสธความหยาบในคำพูดของผม เพราะพ่อ แม่ให้มา แต่ที่แน่ๆ ผมไม่เคยโกงใคร ไม่เคยเข้าข้างคนชั่ว ไม่ประจบสอพลอใคร นี่แหละครับ ความสุขของหยาบคายบุรุษ

สำหรับคนฉลาดทั้งหลาย ผมมองว่าเป็นพวก Jus Scriptum คือ มองข้ามประเด็น ไปมองแต่ประเด็น Pop Pop Hip Hip ของพวกซ้ายไร้ราก นักกฎหมายไร้ใจอย่างประเด็นมาตรา 7 ประเด็นการใช้อำนาจขององค์กรตุลาการ บางคนต่อต้านพันธมิตรแบบออกนอกหน้า จับแพะชนแกะ โดยไม่เคยมองประเด็น ความฉ้อฉลของระบอบแม้ว ความเลวร้ายของเนติบริกร.......สามเศียร (วิษณุ บวรศักดิ์ โภคิน) ความทุกข์ยากของประชาชน

........................

นี่แหละครับสังคมที่ตัดสินโง่ ฉลาด กันที่ วุฒิ คอก ค่าย เชื้อสาย นามสกุล ยี่ห้อ สถาบัน ประเทศที่ตีตราอันแสดงออกถึงวัฒนธรรมทาส หากเป็นเช่นนี้ผมขอเป็น คน โง่ ด้วยความยินดีขอรับ

นี่แหละครับสังคมที่ตัดสินหยาบ สุภาพ ที่คำพูด ไม่ได้ตัดสินที่เจตนา ความรู้ที่แท้ หรือจิตสำนึก

แต่ผมขอประกาศให้ทุกท่านที่ผ่านพบว่า ผมไม่เคยสะดุ้งสะเทือนกับคำพูดไร้สาระของคนเหล่านี้ ทั้งพวกที่สังคมยกย่องเพราะยี่ห้อ หรือพวกไร้นาม เพราะทุกอย่างที่ผมทำไม่ว่าใครจะตีความอย่างไร ผมรู้ตัวดีว่าผมกำลังทำอะไร ต่อสู้อยู่กับอะไร เพื่ออะไร

.....................

มาบัดนี้ การยุทธ เริ่มรู้ผลแพ้ชนะ ลางๆ จึงถึงเวลากลับสำนักบ้านนอก กระจอก ไร้ชื่อเสียง ม.รังสิต เพื่อฝึกฝนตนเองอีกครั้ง

"การเลิกไม่มีเวลาควรเลิก การเสร็จสิ้นไม่มีเวลาเสร็จสิ้น"

เมื่อตอนนี้หยุดพักได้ก็จงหยุดพักเสียเถิด หากจะคอยเวลาให้ภารกิจเสร็จสิ้นจงรู้เสียด้วยว่าไม่มีเวลาที่ภารกิจจะเสร็จสิ้นได้"

จากคัมภีร์ รากผัก หนึ่งในสามคัมภีร์ สุดยอดของบูรพาวิถี

หนึ่ง คือ ปารมิตาสูตร

สอง คือ พิชัยสงคราม

..........................................

ท้ายสุด ผมเบาใจกับกระบวนการพันธมิตรแล้ว ขอพักรบมาอยู่ข้างหลังบ้าง นอกจากนี้ผมยังขอเตรียมผัน ตน จากเด็ก "ระจัน" ไปเป็น เด็ก "ระมัน" ให้ได้ซะที เผื่อว่าเมืองไทยจะได้มี ดอกเตอร์ โง่ๆ หยาบๆ มาอัด กับ ดอกเตอร์ Pop Pop Hip Hip บ้าง เพราะคนไทยเป็นโรคหูสูงผมเลยต้องหาทางไปชุบแป้งทอดตัวเองบ้าง ฮา ฮา

นี่แหละครับ สังคมที่ฟัง และตรวจสอบ หัวโขนฝรั่งที่คุณใส่ ขำชะมัด และขำมาโดยตลอด

...........................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

Friday, May 26, 2006

zen การกลับคืนสู่เสรีภาพของชีวิต


zen การกลับคืนสู่เสรีภาพแห่งชีวิต

เซน ดูจะเป็นถ้อยคำลึกลับ สูงค่าเกินกว่าความนึกคิดจะเข้าใจ

เซน ดูจะเป็นคำตอบแห่งยุคสมัยที่ใครหลายคนเลือกเป็นวิถีสำหรับการค้นหาตัวตนที่แท้

โศลกเซน ดูจะสร้างความสับสนงุนงงมากกว่าความสว่างแจ้ง อันเป็นจุดหมายที่ทุกคนใฝ่หา

เซน หรือ ฌาน หรือ ธยาน อาจหมายถึง ลัทธิ หรือ นิกาย ในพระพุทธศาสนา ฝ่ายมหายาน

แต่แท้จริง เซน หาใช่ นิกาย ลัทธิ หรือเปลือกป้ายใดไม่ แต่ เซน คือ คำเรียกขาน ตัวความจริง ขั้นอันติมะ หรือ ปรมัตถสัจจะ ซึ่งข้ามพ้นความคิดคำนึง หรือ กรอบแบบแผนใดๆ

ดังนั้น เมื่อคุณคิดถึง เซน เมื่อใด ย่อมหมายถึง คุณกำลังเดินห่างไกลจากเซนมากเท่านั้น

ตัวประสบการณ์แห่งการแลเห็นเท่านั้น จะนำคุณปลดโซ่พันธนาการของชีวิต เพื่อเดินเข้าสู่ เสรีภาพ อันเป็นสภาพดั้งเดิมของชีวิต ที่เราสูญเสียมันไปพร้อมกับวัยเยาว์

..............................
ตัวประสบการณ์เป็นมูลฐานสำคัญที่สุด

ต่อแต่นี้ ผมจะเล่าถึง เซน ให้คุณฟัง ไปเรื่อยๆตามเวลาที่อำนวย

หากคุณโชคดี คุณอาจแล เห็น เสรีภาพ ที่แท้ ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ก่อนการเกิดขึ้นของพุทธศาสนาเสียอีก

หวังว่าเราจะได้เจอกัน
.........................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

Monday, May 22, 2006

ไอ้เตี้ย หมากเตะ


ไอ้เตี้ย หมากเตะ

แม้ว่าผมจะเป็นแฟน เซเลเซา บราซิลพันธ์แท้

แม้ว่าผมจะรัก หงส์แดงเถือก มากแค่ไหน

แม้ว่า เปเล่จะเก่งกาจสักเพียงใด

แต่ ไอ้เตี้ย หมากเตะ ศัตรูตัวฉกาจ ของบราซิล ผู้ทำให้ผมเคยน้ำตาตกสมัย บอลโลกที่ อิตาลี

คือ หมายเลขหนึ่งในใจของผมเสมอมา บราโว้ !

.......................................

ไอ้เตี้ย แม่งโคตรเก่ง

ไอ้เตี้ย แม่งโคตรเจ๋ง

ไอ้เตี้ย แม่งเส็งเคร็ง

แต่แม่งเจ๋ง ถูกใจ


ไอ้เตี้ย แม่งโคตรเอี้ย

ไอ้เตี้ย แม่งโคตรเสีย

แต่ไอ้เตี้ย คือมายเดียร์

ผมแม่งรัก ไอ้เตี้ย บรรลัย
(คำร้องโดย Dj Thaitaเยี่ยว)

ฮา ฮา อาร์เจนติ๊น่า ฮา ฮา อาเจนติ๊น่า

..........................................

บุญรักษา บราซิล

เมฆแซมบ้า รับบอลโลก

ใครคือเมฆบ้า


ใครคือเมฆบ้า

เมฆขาวพราวฟ้า บ้าคลั่ง
ละล่องลอย ระรื่นไหล ไอระเหย
ละล่องลิ้ว พลิ้วแรงลม มาชมเชย
หยาดฝนเอย คือ หยาดฟ้าน่าชื่นชม”


บทโศลกแห่งเมฆบ้า

เมฆบ้า เป็นนามปากกาของพระเซน “อิคคิว-ซัง” ผู้โด่งดังของญี่ปุ่น ท่านเป็นทั้งกวี จิตรกร และคุรุพเนจรแห่งเซน นามปากกานามนี้ของท่านเป็นคำเล่นสำนวนในภาษาญี่ปุ่นของคำว่า อุนซุย ซึ่งหมายถึงพระภิกษุผู้ที่ความไม่ยึดติดกับชีวิตทางโลกีย์ ทำให้ท่านล่องลอยไหลลื่นอย่างเสรีดุจเมฆเหนือผิวน้ำ เพราะฉะนั้น เมฆบ้า ในความหมายกว้างจึงหมายถึง ผู้ที่เป็นนักปฏิรูปขบถและพวกนอกรีตแห่งวิถีเซนที่ริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ให้แก่สังคมที่พวกเขาสังกัดอยู่ บ่อยครั้งที่นักปราชญ์อย่างพวกเขา และผู้แสวงธรรมอย่างพวกเขาได้แปลงตัวเป็นขอทาน เป็นนักเทศน์พเนจร หรือแม้แต่แสร้งเป็นคนบ้า วิถีเซนของเหล่าเมฆบ้าอย่างพวกเขาได้ส่งอิทธิพลอย่างล้ำลึกต่อการปฏิบัติสมาธิภาวนา ชีวิตประจำวัน จิตวิญญาณ สังคม และการเมืองในศาสนาพุทธนิกายเซนมาจนกระทั่งทุกวันนี้

การแสดงออกอย่างสุดขั้วในพุทธศาสนานิกายเซนของพวกเมฆบ้าเหล่านี้ บ่อยครั้งปรากฏว่ายากเกินไปที่จะเข้าใจ และล้ำหน้าเกินไปสำหรับผู้คนในสมัยเดียวกับพวกเขา หากแต่เป็นแนวทางที่ล้ำค่าเหลือเกินสำหรับอนุชนคนรุ่นหลังผู้เป็นทายาททางจิตวิญญาณในปัจจุบัน เพราะพวกเมฆบ้าคือ บุคคลตัวอย่างที่มีอยู่จริง พวกเขาไม่เพียงต่อต้านอำนาจนิยมเท่านั้น หากแต่ยังตั้งคำถามกับโครงสร้างทุกอย่าง โดยเฉพาะการตั้งคำถามเกี่ยวกับผู้มีอำนาจอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งพบได้ยากในชีวิตทางศาสนาโดยทั่วไป มิหนำซ้ำพวกเขายังโยงความเป็นขบถนี้บูรณาการเข้ากับอิสรภาพภายในแห่งปัจเจก โดยตั้งอยู่บนประสบการณ์แห่งสุญญตาของตนอย่างกระจ่างแจ้งอีกด้วย

บุรุษเซนผู้พลิกโฉมหน้าเหล่านี้ จึงเป็นแบบอย่างที่เหมาะเจาะสำหรับยุคสมัยที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่อย่างยุคของเราในศตวรรษที่ 21 นี้

...............................

นี่คือข้อเขียนของ อ.สุวินัย ผู้ที่รู้จักและศึกษาเรื่องเมฆบ้ามากที่สุดในประเทศนี้

ขอบคุณอาจารย์ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่ายังพอมีคนเข้าใจ

ผมเคยพบกับ อ.สุวินัย หลังเวทีพันธมิตร ในสภาพตาลุงคนนึง ที่มีบุคลิกเรียบง่าย แต่ฉายแววตาสดใส เฉียบขาด

ผมเชื่อมั่นว่า ท่านอาจารย์ก็คือ เมฆบ้า คนนึง แต่ท่านมีความบ้าในแบบของท่าน ที่ต่างจากผม

เมฆขาวพราวฟ้า บ้าคลั่ง

ละล่องดั่ง พายุร้าย คล้ายฟ้าผ่า

ในฟ้าร้าง มีสายลม ระดมมา

คือเมฆบ้า ฟ้ากว้าง ทางสัญจร

โศลกสดเมฆบ้า



.....................................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

เมฆบ้า ฟ้าร้าง


Friday, May 19, 2006

กำลังใจแด่นักรบครุยดำ


กำลังใจแด่นักรบครุยดำ

ต้องยอมรับว่าสถานการณ์บ้านเมืองก่อนหน้า อยู่ในสภาพไร้ขื่อ ไร้แป

ต้องยอมรับว่า ระบอบทักษิณ คือตัวการสำคัญในการรื้อขื่อแปทิ้งจนเกือบเกลี้ยง

ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาองค์กรตุลาการ ทำหน้าที่เกี่ยวกับคดีการเมืองค่อนข้างน้อย เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญไม่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย

ต้องยอมรับว่า บ้านเมืองที่ไร้ขื่อแปนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องกลับสู่ภาวะการเมืองเต็มขั้น ภาวะดังกล่าวคือภาวะ แห่งสงครามการต่อสู้ระหว่าง กองทัพขายชาติ กับกองทัพกู้ชาติ

......................................................

ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นนักรบกู้ชาติ ทยอยการทำหน้าที่ของตน เรือนแสน เรือนล้าน

และในปัจจุบัน การศึกเปลี่ยนแนวรบ ด้วยเหตุจากฟ้า เราจึงแลเห็น เหล่านักรบครุยดำ ลงออกต่อตีกับ กองทัพขายชาติ

ด้วยเหตุนี้ จึงขอเป็นกำลังใจห่างๆให้นักรบครุยดำปราบปรามพวกขายชาติให้หมด

ขอให้นักรบครุยดำนำ ประโยชน์สุข กลับคืนสู่แผ่นดินแม่อีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้ แม้นักรบครุยดำต้องฝืนกับหลักการ แต่เพื่อบรรลุภารกิจยิ่งใหญ่ จึงออกต่อตีกับข้าศึกด้วยใจรักชาติ

ขอคารวะ นักรบครุยดำทั่วหล้า

....................................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

Friday, May 12, 2006

ฟ้าร้าง


ฟ้าร้าง
ฉันเคยท่องล่องไปในเวิ้งฟ้า
ลอยพัดพาตามสายลมระดมพัด
มีสายหมอกละอองเย็นคอยเปลี่ยนผลัด
มีทิวทัศน์ของดินดอนร้อนทุรณ
และแล้วเมฆก็ลอยล่องต้องนางฟ้า
แม่ก็มาโปรยตอกดอกไม้สน
มาเลี้ยงดูด้วยรักห่วงด้วยตัวตน
ด้วยความสนใจสมัครรักผูกพัน
ณ บัดนั้นเมฆแสนสุขสนุกสนาน
ลอยเบิกบานในเวิ้งฟ้าสรวงสวรรค์
มีน้ำทิพย์ชโลมรักทุกคืนวัน
มีเรื่องราวสารพันให้จันทร์จาร
แต่แล้วเมฆก็ต้องกลั่นตัวเป็นฝน
เพื่อโปรดปรนนิบัติดินทุกถิ่นฐาน
ไหลลงรดทั่วผืนแผ่นดินดาน
หลอมสายธารเป็นเนื้อเดียวกับเสี้ยวดิน
เมฆจึงร้างห่างฟ้านภาใส
หลงระเริงอยู่ในกระแสสินธ์
หลงหล่อเลี้ยงทุ่งหญ้าค่าผืนดิน
หลงลงกินทุรณดอนที่ร้อนรน
มาบัดนี้อาทิตย์เผาร่างกายแผด
พยับแดดก็หอบน้ำสู่ฟ้าฝน
ให้ระเหยกลับเป็นเมฆในบัดดล
มีปุยขาวละมุนปนอยู่บนฟ้า
ฟ้าจ้าฟ้าฟ้ายังกว้างอย่างเคยกว้าง
แต่ฟ้าร้างนางบนฟ้าข้าโหยหา
ด้วยรักกล่อมที่เคยกอดเคยเป็นมา
กลับร้างราจากฟ้าครามยามพลบเย็น
อาทิตย์ดับลาจากฟ้าฟาก
เมฆลอยจากนางบนฟ้าลับตาเห็น
ละล่องเรื่อยเอื่อยไปสายลมเย็น
ในความมืดแสงจันทร์เพ็ญคอยกล่อมนอน
............................
เมฆบ้า ณ บ้านนางฟ้า

Tuesday, May 09, 2006

นักกฎหมายกระป๋องปลา กับ นักกฎหมายปลากระป๋อง


นักกฎหมายกระป๋องปลา กับ นักกฎหมายปลากระป๋อง

ในปัจจุบันมีนักกฎหมายบางคนชอบเรียกตัวเองว่าเป็น "นักกฎหมายมหาชน" หรือ สื่อบางสื่อชอบเรียกนักกฎหมายบางกลุ่มว่า "นักกฎหมายมหาชน" ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น "นักกฎหมายมหาชนมีจริงหรือเปล่า" คือคำถามที่ต้องวิสัชชนาให้ได้ก่อน

กฎหมายแท้จริงแล้ว คือ ระบบของกฎเกณฑ์ที่ไม่อาจแยกขาด หรือแยกย่อย ออกเป็นสาขาต่างๆได้ ระบบแห่งกฎเกณฑ์ คือระบบที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ทั้งในแง่ของส่วนตน ส่วนรวม ส่วนข้ามรัฐ รอดรัฐ ส่วนเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง ศาสนา ชีวิต ความเป็นอยู่

ความคิดในการแบ่งแยกสาขาของกฎหมาย กระทั่งแบ่งแยก "คน" ในฐานะ นักกฎหมายออกเป็น "ประเภท" หรือ "พันธ์"ต่างๆโดยยึดถือ "ประเภท" จึงเป็นความคิดที่ "อ่อนหัด" เพราะระบบแห่งกฎเกณฑ์ไม่อาจแบ่งแยกได้ เช่น หากคุณถูกรถของหน่วยงานราชการชนจนบาดเจ็บ หากคุณจะเรียกค่าเสียหาย คุณต้องไปดู กฎหมายละเมิดของพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าคุณจะเอาข้าราชการที่ขับรถชนคุณเข้าคุก คุณก็ต้องไปดูกฎหมายอาญา ถ้าคุณจะดำเนินคดี ก็ต้องไปใช้วิธีพิจารณาความของศาลปกครอง หรือ ศาลอาญา

ผมกำลังจะบอกคุณว่า "นักกฎหมายมหาชน" ไม่มีหรอก มีแต่ "นักกฎหมาย" ที่กำลังใช้กฎหมายอันเป็นร่างแหของกฎเกณฑ์ที่เชื่อมร้อยโยงใยอย่างเป็นระบบ

.....................................

นอกจากเราไม่อาจแบ่งแยก "กฎหมาย" ออกเป็น "พันธุ์" ได้แล้ว "กฎหมาย" ก็ไม่อาจแยกขาดจากรากเหง้าของมัน คือ "บริบท" ที่เป็นฐานที่มาของกฎหมาย เพราะกฎหมายไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ก่อน แต่กฎหมายพัฒนามาจาก "สิ่งที่มีอยู่ก่อน" คือ "ปัญหาในบริบท" ซึ่งความขัดแย้งต่างๆบีบคั้น บีบเค้น ให้มนุษย์ร่วมคิด ร่วมกำหนด กรอบแห่งการดำรงอยู่ร่วมกัน

ด้วยเหตุนี้ หากนักกฎหมายผู้ใด หรือ ผู้ที่เรียกตนว่าเป็น "นักกฎหมาย" พันธุ์ใด ใช้กฎหมายโดยตัดขาดจากบริบทสังคมแล้ว นักกฎหมายผู้นั้นก็อาจเข้าสู่ ภาวะ "บูดเน่า" ที่อาจดันกระป๋อง หรือ เปลือกแห่งถ้อยคำให้ปูดปูน

อย่าลืมว่า เราซื้อปลากระป๋อง มากิน ปลา ไม่ได้กิน กระป๋อง แต่นั่นอย่างเพิ่งด่วยสรุปว่า กระป๋องไม่มีคุณูปการในการรักษาปลาให้หอมอร่อยนะ แต่เมื่อวันใดที่ปลาในกระป๋องมันเน่า เราจะทำอย่างไรกับกระป๋องดี เราต้องกลับมาตรวจสอบกระป๋องว่ามันพังเพราะอะไร พังเพราะปลา หรือ พังเพราะกระป๋อง

........................................

สำหรับ ระบบแห่งกฎเกณฑ์ในบ้านเรา ต้องยอมรับว่า เหมือน กระป๋องใส่ปลาเน่า

เน่าจนกัดกร่อนกระป๋องให้ผุลงวันแล้ววันเล่า ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นนักกฎหมายออกมาให้ความเห็นในสองแนว

แนวแรก คือ นักกฎหมายกระป๋องปลา พวกนี้ติดกับหลักการและตรรกะ ติดกับเปลือกของกฎหมาย ขอให้กระป๋องสวยไว้ก่อน ส่วนปลาจะเน่าอย่างไรข้าไม่สน ข้ามีหน้าที่เดินหน้ารักษากระป๋องอย่างเดียว ขอให้กระป๋องปลาสวยไว้ก่อน แต่พวกนี้ยังดีกว่า นักกฎหมายปลาเน่า อย่างเนติบริกรเยอะ แต่อย่างว่า นักกฎหมายกระป๋องปลาดูจะทำหน้าที่ของตนได้ดีมาก ดีจนกระทั่งออกปกป้อง นักกฎหมายปลาเน่า

แนวสอง คือ นักกฎหมายปลากระป๋อง พวกนี้ไม่ใช่ไม่สนใจกระป๋องปลานะ ! แต่ที่ผ่านมา กระป๋องปลา เป็นแต่กระป๋อง แต่ไม่ได้มีสภาวะที่จะเปลี่ยนปลาเน่าเป็นปลาดีน่ากินได้ นอกจากนี้ปลาเน่ายังส่งกลิ่นเหม็นสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว จึงถึงเวลาสักทีที่จะต้อง สังคยนา ปลาเน่าตัวอ้วนในกระป๋องสักที ทั้งที่รู้ว่า อาจมีปลาเน่าตัวใหม่เข้าอยู่ในกระป๋องก็ตาม

ทั้งนักกฎหมายกระป๋องปลา และ นักกฎหมายปลากระป๋อง ต่างๆก็มีจุดร่วมกัน คือ การรักษา นิติรัฐ รักษา ระบบกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายให้กลายเป็นหลักการสำคัญ

แต่จุดที่ต่างกันอย่างชัดเจน คือ นักกฎหมายกระป๋องปลา มุ่งรักษา กระป๋อง ดุจดวงใจ โดยไม่สนใจ ว่า ปลามันจะเน่า มันจะเหม็น ประชาชนจะคลื่อนเหียนอาเจียน ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวหรือไม่ ขอให้ข้ารักษากระป๋องให้ดีที่สุดไว้ก่อน และเขาเหล่านั้น ก็ทำหน้าที่ได้ไม่เลวเลยทีเดียว

ในขณะที่นักกฎหมายปลากระป๋อง มุ่งรักษา ปลา และ กระป๋อง ไปบนพื้นฐานที่เป็นไปได้ ที่ผ่านมา ปลาเน่า ทำลายกระป๋องไปจนยับเยิน จนบุบบี้ไปหมดแล้ว ดังนั้นสิ่งต้องทำ คือ กำจัด ปลาเน่าไปโดยเร็ว อย่างน้อยที่สุด เมื่อปลาเน่าออกไปแล้ว ค่อยมาดำเนินการต่อว่า จะซ่อมกระป๋องอย่างไร ไม่ให้ ปลาเน่าเข้ามาในกระป๋องได้อีก หรือ จะเปลี่ยน ปลาเน่าเป็น ปลาร้ากระป๋องที่หอมอร่อยได้อย่างไร

..................................

อย่าลืมว่า คน กิน "ปลากระป๋อง" ไม่ได้กิน "กระป๋องปลา" แม้ว่า "กระป๋องปลา" จะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ "ปลากระป๋อง" ก็ตาม แต่มันถึงเวลาตั้งนานแล้วที่จะเทปลาเน่า ออกจากปลากระป๋อง ส่วน กระป๋องใบใหม่ จะซ่อม แซม สร้าง อย่างไร ค่อยว่ากันใหม่

มิใช่ มัวนั่งคิดแต่เรื่อง "กระป๋องปลา"

..................................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น

นักกฎหมายปลากระป๋อง

Monday, May 08, 2006

1st Round


1 st Round

Ladyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyy and Gentleman nnnnnnnnnnnnnnnnnnn.

Uh hhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhh

This is the result of first round

The Rule of Law 8 : 6 Taksin and the gang

The Right 9 : 5 The Cheat

..............................

Don't blink your eyes for the 2nd round.

......................................................

God bless your life

Thursday, May 04, 2006

Shades in my box

Shades in my box

Nikon D 50
None fotoshop
Technic : Zoom In and Out , Slide



















Tuesday, May 02, 2006

เดิน

เดิน

ชีวิตผมกว่าค่อน คือการเดิน เดินไปบนถนนของชีวิต

บางขณะ อาจมีใครมาร่วมเดินด้วย ในสถานะต่างๆ ทั้งในฐานะ พ่อ แม่ คนรัก เพื่อน พี่ น้อง ครูบาอาจารย์

บางครั้งเราอาจคิดว่าเราเดินอยู่ในเส้นทางสายเดียวกัน แต่เชื่อเถอะว่าทุกคนล้วนมีเส้นทางของตนเอง เพียงแต่สายลมแห่งชีวิตอาจเพียงพัดพาให้เราเดินมาอยู่ใกล้ๆกัน เพื่อพบปะกันในสถานะต่างๆ

ผมเพียงแต่เดินไปบนเส้นทางของผม ซึ่งบางครั้งการที่ผมจดจ่ออยู่กับเป้าหมายบางอย่าง อาจทำให้ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า กำลังเดินห่างออกจากใครหลายคน ในขณะเดียวกันก็อาจได้เพื่อนร่วมทางชั่วคราวเพิ่มขึ้นบนรายทางใหม่เช่นกัน

คุณที่รัก ผมมีเส้นทางเดินเฉพาะของผมที่แยกจากคุณๆทั้งหลาย เป็นเส้นทางเบี่ยงของชีวิตที่เราไม่อาจเจอมันได้ง่ายนัก

สำหรับผมเมื่อพบเส้นทางดังกล่าว ผมรู้แต่ว่าขามันต้องเดินไปในทิศทางนั้น

และเมื่อเส้นทางดังกล่าวเริ่มสิ้นสุดลง ผมเพียงคิดว่าทางเบี่ยงของชีวิตนั้น จะกลับมาเชื่อมโยงกับเส้นทางสายเดิมที่มีผู้คนคุ้นหน้า โดยเฉพาะเธอผู้แสนดี

แต่เมื่อผมเงยหน้าขึ้น กับพบเพียงความว่างเปล่า บนระยะทางก้าวต่อมาและต่อไป

ไม่มีสิ่งใดต้องเรียกร้อง นอกจากเดินมันต่อไป เพื่อการเดิน เดิน และก็เดิน

เดินไปบนวิถีของชีวิตที่บางครั้ง การได้มาซึ่งวิถี อาจหมายถึง การสูญเสียอะไรบางอย่างไป

ผมเพียงคิดว่าจะเดินต่อไป แม้ว่าฝุ่นควัน และความร้อน บนถนนของผมจะทวีอุณภูมิสูงขึ้นก็ตาม

แต่มันก็เป็นธรรมชาติที่มันมีวิถีการเคลื่อนตัว แปรปรวนของมัน

ผมเพียงแต่อยากให้ทุกคนมีความสุข และขอให้เธอมีความสุข

บางครั้งปณิธานที่ยิ่งใหญ่ เพื่อการดูแลมวลมนุษย์เพื่อนร่วมโลก อาจกลายเป็นการหลงลืมที่รดน้ำให้กับดอกไม้ที่แสนหอม

รอยยิ้มของผู้อื่นมากมาย ก็เพียงแค่รอยยิ้ม

น้ำตาที่อาบไหลในห้องเดียวดาย ก็เพียงแค่สิ่งที่สมควรจะเกิด

ถนนสายใหญ่ที่เราก้าวเดินเพียงชั่วคราว อาจหมายถึงการสูญเสียระยะทางในถนนสายเล็กที่น่ารัก

ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์และจังหวะก้าวของชีวิต จะผลักดัน บิดผัน กระทั่ง เร่งเร้าให้เราเดินไปสู่ทิศทางใด

......................................

ตะวันตกดินแล้ว ความมืดแผ่ปลกคลุมไปทั่วผิวโลกซีกที่ผมอยู่

ผมเดินจากท่าพระจันทร์ ไปสนามหลวง จากสนามหลวงไปพระอาทิตย์ จากพระอาทิตย์ไปข้าวสาร จากข้าวสารไปราชดำเนิน ทอดตาเหม่อมองไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

รถยนต์ส่วนตัวชั่วคราวแบบคิดเงิน พาผมกลับสู่ห้องเดียวดาย ไร้ชีวิต
ผมเพียงแต่สูดลมหายใจลึกๆ พลันเหลือบแลเจ้าหมีน้อย และคิดเป็นห่วงว่าจะไม่มีใครดูแลมัน

ผมคิดว่าผมหิวแล้ว และอาจจะพามันลงไปกินข้าวด้วย

....................................................

บุญรักษา ชีวาสดชื่น