Friday, December 11, 2009

ที่มาของระบบทุนนิยมสามานย์


.บทความโดย เศรษฐกรอาวุโสธนาคารโลก ดร.ไสว บุญมา
........................

ทุนนิยมถูกประณามบ่อยขึ้นเพราะยุคนี้โลกมีระบบเศรษฐกิจที่ใช้กันโดยทั่วไปเพียงระบบเดียว การพักชำระหนี้ของกลุ่มดูไบเวิลด์เมื่อสัปดาห์ก่อนมีผู้วิจารณ์ว่ามาจากความสามานย์ของระบบทุนนิยม แต่ผู้ตราทุนนิยมว่าสามานย์ดูจะไม่ค่อยรู้ที่มาที่ไปของระบบทุนนิยมและอะไรทำให้มันชั่วช้าจนเข้าขั้นสามานย์ จึงขอนำประวัติของระบบทุนนิยมมาเล่าคร่าวๆ เพื่อเป็นฐานสำหรับการพิจารณาแบบใช้ทั้งสติและปัญญาว่ามันสามานย์จริงหรือไม่

“ทุนนิยม” หมายถึงระบบสังคมและเศรษฐกิจที่ปัจจัยในการผลิตส่วนใหญ่เป็นของเอกชนซึ่งมุ่งแสวงหากำไรโดยใช้ตลาดเสรีเป็นตัวชี้นำเรื่องการลงทุน การผลิต การจำหน่าย พร้อมทั้งการตั้งราคาสินค้าและบริการ บุคคลและนิติบุคคลมีสิทธิและอิสระที่จะขายที่ดิน แรงงาน สินค้าและบริการโดยผ่านการใช้เงิน ส่วนประกอบต่างๆ ของระบบทุนนิยมมีมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลรวมทั้งในสังคมไทยด้วย

เรื่องนี้มีการยืนยันทางประวัติศาสตร์และจากข้อความในศิลาจารึกที่ว่า “ใครใคร่ค้าช้างค้า ค้าม้าค้า” ส่วนประกอบต่างๆ ได้รับการรวมหลอมให้เป็นแนวคิดทางเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบขึ้นในเกาะอังกฤษเมื่อราว 500 ปีที่ผ่านมา เมื่อระบบศักดินาค่อยๆ เสื่อมลงในสังคมตะวันตก หลังจากนั้นระบบทุนนิยมก็แพร่ขยายออกไปในยุโรปและส่วนอื่นของโลก มันเป็นระบบที่สังคมส่วนใหญ่ใช้ในระหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อราว 240 ปีที่แล้ว

ในช่วงเวลาราว 500 ปีที่กล่าวถึงนั้น แนวคิดเรื่องทุนนิยมพัฒนาอยู่ตลอดเวลาและวิวัฒน์มาเป็นระบบที่เรียกกันว่า “เศรษฐกิจแบบผสม” ในปัจจุบัน นั่นคือ สังคมต่างๆ นำส่วนประกอบของระบบเศรษฐกิจหลายระบบมาผสมกันตามที่เห็นว่ามันเหมาะสมกับสังคมของตน โดยเฉพาะการให้รัฐมีบทบาทในการเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิตและจำหน่ายสินค้าและบริการอันเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบสังคมนิยม ฉะนั้นทุกประเทศจึงมักมีรัฐวิสาหกิจ ส่วนจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปรัชญาของแต่ละประเทศ ระบบทุนนิยมวิวัฒน์ไปตามแนวคิดของปราชญ์ในเกาะอังกฤษเป็นส่วนใหญ่

ในจำนวนนี้ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในตอนต้นๆ ได้แก่ อดัม สมิธ ผู้รวมแนวคิดของเขาไว้ในหนังสือชื่อ The Wealth of Nations ซึ่งพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2319 อันเป็นช่วงที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานีของไทย แนวคิดของเขาวางอยู่บนฐานของความเชื่อมั่นในการมีประสิทธิภาพของการแบ่งงานกันทำของระบบตลาดเสรีที่นายทุนมีบทบาทสำคัญ ฉะนั้นรัฐควรจะมีบทบาทน้อยที่สุด เรื่องประสิทธิภาพของการแบ่งงานกันทำนี้ กวีเอกสุนทรภู่ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคนั้นก็ยืนยันไว้ในบทกลอนที่ว่า “รู้อะไรรู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล”

ระบบทุนนิยมถูกกล่าวหาว่าก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมและจะนำไปสู่การต่อสู้กันระหว่างคนสองชนชั้นคือ ชั้นนายทุนและชั้นกรรมกร จนในที่สุดสังคมจะล่มสลาย คาร์ล มาร์กซ์ เห็นว่าถ้าจะแก้ปัญหานี้ สังคมต้องแทนที่ระบบทุนนิยมด้วยระบบคอมมิวนิสต์เช่นเดียวกับระบบทุนนิยมเข้าไปแทนที่ระบบศักดินา เขารวมแนวคิดของเขาพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือชื่อ Communist Manifesto เมื่อปี 2391 ในระบบคอมมิวนิสต์ เอกชนไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิตและจำหน่ายสินค้าและบริการ สิ่งเหล่านั้นเป็นของรัฐซึ่งเป็นผู้ออกคำสั่งว่าจะผลิตอะไร อย่างไร มากน้อยแค่ไหนและเพื่อใคร สังคมแรกที่นำระบบนี้มาใช้คือรัสเซียหลังการล้มระบบกษัตริย์เมื่อปี 2460 อันเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้กันของแนวคิด 2 ขั้วใหญ่ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “สงครามเย็น”

ต่อมาระบบทุนนิยมตามแนวคิดในขั้วของอดัม สมิธ ถูกกล่าวหาว่าไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้หมดไปได้ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับการว่างงานและภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยครั้งใหญ่ในช่วงหลังปี 2473 จอห์น เมนาร์ด เคนส์ เสนอว่าถ้าจะแก้ปัญหาดังกล่าว รัฐต้องมีบทบาทมากขึ้น เช่น ลดอัตราดอกเบี้ย ลดภาษีและทำงบประมาณขาดดุล เขารวมแนวคิดของเขาพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ The General Theory of Employment, Interest, and Money ออกมาเมื่อปี 2479

แม้แนวคิดของจอห์น เมนาร์ด เคนส์ จะถูกท้าทายจากปราชญ์ทางเศรษฐศาสตร์อยู่เรื่อยๆ แต่ในปัจจุบันมันเป็นฐานของการบริหารจัดการเศรษฐกิจทั่วโลกยกเว้นในเกาหลีเหนือและคิวบาเท่านั้น เนื่องจากโลกกำลังเผชิญกับปัญหาหนักหนาสาหัส ระบบทุนนิยมจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุ การกล่าวหาเช่นนี้ไม่ใช่ของใหม่และเป็นไปในแนวของคาร์ล มาร์กซ์ และพรรคพวกซึ่งเสนอทางแก้ไขไว้แล้วอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตามผู้นำระบบของเขาไปใช้อย่างจริงจังรวมทั้งประเทศมหาอำนาจ เช่น สหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ตรงข้ามมันกลับทำให้ปัญหาหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นจนสหภาพโซเวียตแตกสลายไปเมื่อปี 2534 ส่วนจีนได้เปลี่ยนมาใช้ระบบนายทุนแบบผสมและสามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้จนกลายเป็นดาราของโลกอยู่ในปัจจุบัน

ผู้ที่ยังคิดว่าระบบคอมมิวนิสต์จะแก้ปัญหาของโลกได้ต้องไปอยู่ในเกาหลีเหนือและคิวบา บางทีความอดอยากจะทำให้มองเห็นต้นตอของปัญหาใหญ่ซึ่งได้แก่การขาดอิสรภาพ นอกจากนั้นในระหว่างที่ถูกนำไปใช้ ระบบคอมมิวนิสต์ได้แสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัดแล้วว่ามันไม่สามารถลบล้างความแตกต่างระหว่างชนชั้นได้ นั่นคือ ประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นแรงงานไม่มีอิสรภาพ กับชนชั้นปกครองซึ่งมีอภิสิทธิ์ในเกือบทุกสิ่งทุกอย่างไม่ต่างกับนายทุนที่ร่ำรวยในระบบทุนนิยม

เนื่องจากอดัม สมิธ เป็นต้นตำรับของการรวมหลอมสิ่งต่างๆ มาเป็นแนวคิดของเศรษฐกิจระบบทุนนิยม จึงขอย้อนกลับไปดูว่ายังมีอะไรซึ่งคนทั่วไปอาจไม่ค่อยรู้โดยเฉพาะผู้ที่กล่าวหาว่าทุนนิยมนั้นชั่วช้าถึงขั้นสามานย์ ผู้ที่ย้อนไปดูแนวคิดและการปฏิบัติตัวของอดัม สมิธ จะพบ 3 สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ

(1) 17 ปีก่อนที่เขาจะเขียนหนังสือเรื่อง The Wealth of Nations เขาได้เขียนหนังสือชื่อ The Theory of Moral Sentiments ขึ้น หนังสือเล่มนี้เป็นกรอบแนวคิดด้านจริยธรรมซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อการทำงานของระบบทุนนิยม (2) อดัม สมิธ วิตกกังวลเรื่องการบูชาเงิน การผูกขาดและการฮั้วกัน เพราะมันจะสร้างความเลวร้ายให้ระบบทุนนิยม และ (3) เขามีความกตัญญูและความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ มีความซื่อตรงและดำเนินชีวิตตามหลักของความพอประมาณซึ่งวิวัฒน์ต่อมาเป็นฐานของแนวเศรษฐกิจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง

หากนำเอาความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ แนวคิดและวิวัฒนาการด้านต่างๆ ดังที่กล่าวถึงมารวมกัน มันคงบ่งชี้อย่างแจ้งชัดว่า ถ้าผู้ใช้ระบบทุนนิยมปฏิบัติไปตามหลักที่อดัม สมิธคิดไว้ ยึดกฎเกณฑ์ของมันอย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตัวตามที่เขาเองทำ ระบบทุนนิยมจะไม่ก่อให้เกิดความชั่วร้ายจนได้สมญาว่าเป็นระบบที่สามานย์เลย แต่ความชั่วช้าสามานย์มาจากคน โดยเฉพาะในเมืองไทยจะเห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่มักไม่ทำตามกฎเกณฑ์ของสังคมและปฏิบัติตัวในแนวสมถะ เช่น อดัม สมิธ

เรื่องนี้ถ้าจะขยายคงต้องเน้นความชั่วร้ายของชนชั้นปกครองที่ฉ้อฉล มีผลประโยชน์ทับซ้อน และร่วมหัวกันฮั้วกับฝ่ายเอกชนเพื่อปล้นสังคมที่คนส่วนใหญ่ตามพวกเขาไม่ทัน ความชั่วร้ายนั้นมาพัฒนาถึงขั้นสุดยอดในระหว่างที่ นช.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จนถึงกับมีการขนานนามการกระทำความเลวทรามอย่างเป็นระบบของเขาว่า “ระบอบทักษิณ” ระบอบนี้แสนชั่วร้ายและได้แทรกซึมเข้าไปในสังคมไทยจนทั่วทุกหัวระแหงแล้ว ฉะนั้น แม้ นช.ทักษิณ จะตายไป แต่ความชั่วร้ายก็จะยังคงอยู่หากคนไทยยังไม่พยายามช่วยกันกำจัดมันชนิดขุดรากถอนโคน กระบวนการเมืองใหม่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำ ณ วันนี้กระบวนการเมืองใหม่มียุทธการที่จะนำไปสู่เป้าหมายนั้นหรือยัง?

โดยสรุป ถ้ากระบวนการเมืองใหม่สามารถกำจัดความชั่วช้าสามานย์ออกจากกมลสันดานของคนไทยบางคนได้โดยเฉพาะของผู้ที่อยู่ในระบอบทักษิณ ระบบทุนนิยมในเมืองไทยจะไม่มีความสามานย์เหลืออยู่ ในทางกลับกันหากคนยังสามานย์ ทุกระบบย่อมสามานย์ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งศาสนาที่ว่าแสนประเสริฐ เรื่องนี้มีตัวอย่างให้เห็นเป็นประจำแบบตำตาอยู่แล้วมิใช่หรือ?

Wednesday, November 25, 2009

วงจรเยอรมัน


ผมได้รับทุนการศึกษามาเรียนในเยอรมันอย่างที่เคยคาดฝันไว้ตอนเลิกคาดฝัน นี่ก็เข้าปีที่สองแล้ว
ภาษาเยอรมันเป็นภาษายาก เหมือนเรียนคณิตศาสตร์ ปัญหาของคนคิดเยอะคือไม่กล้าพูดเพราะกลัวผิด
ดังนั้นถ้าจะพูดภาษานี้อย่ากลัวผิด เพราะมันผิดแน่นอนแต่ค่อยๆแก้ไป

เรียนโทกฎหมายในเยอรมันต่างจากการเรียน ป.โทในที่อื่น คือ ที่นี่จะจับเราเรียนกฎหมายใหม่หมด
ทั้งแพ่ง อาญา มหาชน ซึ่งสำหรับผมก็สนุกดี เหมือนได้ทบทวนพื้นฐานทางนิติศาสตร์
โดยเฉพาะกฎหมายแพ่งเป็นกฎหมายที่มีเนื้อหาและศิลปะกฎหมายแฝงอยู่ภายในมากมาย
เนื่องจากเป็นกฎหมายที่ตกทอดมาเป็นพันๆปีตั้งแต่สมัยโรมัน กฎหมายอาญาของเยอรมันก็สนุกดี
นักศึกษาไทยได้เปรียบเพราะเรามีอาจารย์ที่จบจากทั้งฝรั่งเศสและเยอรมัน โดยเฉพาะ ท่าน ศ.ดร.คณิต ณ นคร
ที่เขียนตำราอาญาไทยด้วยสำเนียงความคิดแบบเยอรมัน ผมเลยสบายไปเยอะ มหาชนก็สนุกดี แต่เนื่องจากเยอรมัน
เป็นสหพันธรัฐดังนั้นหลักการในแบ่งอำนาจกันของสหพันธ์ กับรัฐต่างๆจึงค่อนข้างซับซ้อน นักศึกษาที่เป็นเพื่อนต่างชาติ
ค่อนข้าง งงๆเพราะส่วนใหญ่มาจากรัฐเดี่ยว เช่นพวกยุโรปตะวันออก ละตินอเมริกา และก็จีน

คนเยอรมันเป็นคนคิดเยอะ ละเอียดถี่ถ้วน จนบางครั้งแอบเหนื่อยแทน
อย่างว่าคุณลักษณะของแต่ละชาติก็เป็นตัวกำหนดโลกทัศน์ชีวทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา
ผมเคยแอบคิดว่า ถ้าผมรู้กฎหมายเยอรมันเยอะๆ ผมจะต้องวางมันไว้ข้างตัว ไม่เอามาใส่ในหัว
เพราะถ้าผมกลับเมืองไทย ผมอาจบ้าได้ เพราะแอบพกไม้บรรทัดไปตัดสินผิดที่ผิดทาง

ผมมีอาจารย์สอนมหาชน ชื่อ ดร.เอาเลเน่อ รูปร่างลักษณะเห็นแล้วนึกถึง ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ที่ผมเคารพรัก
เวลาแกถามแล้วไม่มีใครตอบได้ แกจะร้อง วู้ๆๆๆ มีใครอยู่ไหม พวกคุณอยู่ไหนกันหมด เวลาแกยิ้มหัวเราะก็น่ารักดี
เอกลักษณ์การสอนของอาจารย์ในเยอรมัน คือ พูดเร็ว พูดไม่หยุด ไม่มีช่องไฟ เหมือนรถยนต์เมอซีเดสลองติดเครื่องแล้ว
ก็เหยียบกันมิด จนกว่าจะถึงที่หมาย

ตอนนี้ผมเริ่มกำหนดทิศทางการศึกษาของตัวเอง โดยจะเน้นการศึกษาและทำวิทยานิพนธ์ทางด้านกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ
ที่เยอรมันเรียกว่า กฎหมายปกครองทางเศรษฐกิจ กฎหมายปกครองในไทยส่วนใหญ่จะเน้นกฎหมายปกครองในลักษณะที่เข้าไปจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน แต่กฎหมายปกครองทางเศรษฐกิจเน้นทางด้านการสร้างสวัสดิการ การควบคุมตลาดให้สมดุล การดำเนินกิจการของรัฐในทางเศรษฐกิจ อันที่จริงแล้วมันก็เป็นกฎหมายปกครองนั่นแหละ แต่มันเน้นกฎหมายปกครองในฐานะผู้ให้มากกว่าผู้เข้าไปจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ตอนนี้เลยต้องมาอ่านหนังสือแนวเศรษฐศาสตร์การเมืองในเรื่องแนวคิดทางเศรษฐกิจกระแสหลัก ทั้งสำนักฮาวาร์ด ชิคาโก้ ไฟร์บวก ซึ่งกำลังครองกระแสความคิดในการกำหนดนิตินโยบายทางเศรษฐกิจทั้งในพรมแดนกฎหมายเอกชน เช่น กฎหมายการแข่งขันทางการค้า กฎหมายผูกขาด แต่ในทางมหาชน จะเน้นบทบาทของรัฐในการเข้าไปแก้ไขความบกพร่องของตลาดผ่านกลไกของรัฐ

ตอนนี้เลยต้องทำตัวเป็นทุนนิยม เพื่อเข้าใจทุนนิยม

แต่จุดยืนของผมยังไม่เปลี่ยนแปลง ครับ

มนุษย์นิยมสาย NGO เช่นเดิม

รู้เขารู้เรา ร้อยรบมิรู้พ่าย
แต่สุดท้ายก็ตายกันหมด

สุดท้ายของไว้อาลัยแด่ ลุงหมัก ที่รักของทุกคน

ลุงหมัก ลุงที่มีครบรสแห่งความเป็นคน

จงไปสู่ สุขคติ เทอญ

Monday, October 19, 2009

ตันตระ


ธรรมชาติเสกสรรค์พลังงานอยู่ในกายใจเราหลากหลาย
พลังงานที่ผ่านสมองออกมาทางการคิดการเขียน ถูกเรียกว่า พลังปัญญา
พลังงานที่ผ่านมาทางความโกรธ ความชอบ ความหลง เรียกว่า พลังทางอารมณ์

เมื่อเราแลมองสรรพสิ่ง การเบ่งบานของดอกไม้ การเติบโตของเหล่าสัตว์ การเคลื่อนที่ไปของสรรพชีวิต
การก่อกำเนิดขึ้นของลูกหลาน เราจะพบว่า มีพลังงานที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง คือ พลังงานทงเพศ

พลังงานเป็นของกลาง ไม่ว่าจะผ่านมาทางใด และถูกตั้งชื่อว่าอะไรมันก็คือพลังงาน

ขณะที่เราคิด หากเรารู้ว่ามันคือพลังงานชนิดหนึ่ง เราจะเป็นอิสระจากมัน
หากเราตื่นขึ้นจากความคิดได้ เราจะพบภาวะที่อยู่เหนือความคิด
ขณะที่เราชอบ โกรธ หลง หากเราตระหนักถึงพลังแห่งอารมณ์ เราจะเป็นอิสระจากมัน
หากเราตื่นขึ้น เราจะเป็นอิสระจากอารมณ์เหล่านั้นและโบยบินไปสู่ความว่างเปล่าที่สมบูรณ์
แล้วเหตุไฉนขณะที่เรามีเพศสัมพันธ์ เราจะตื่นรู้ไม่ได้ เพราะในขณะที่พลังงานไหลเวียนหากเราตื่นรู้
เราจะพบท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล

ชายหญิง หากไร้ชื่อเรียก มันคือ ภาวะการรวมตัวกันของพลังงาน
แต่ชาย และหญิง เราถูกตัดแบ่งออกจากความเป็นหนึ่งเดียว
ต้นไม้ไม่ถูกตัดแบ่งมันจึงสมบูรณ์และอายุยืน
การตัดแบ่งออกโดยธรรมชาติมันทำให้เราสัมผัสรับรู้แต่เพียงด้านเดียว
เราไม่อาจเข้าถึงพลังของอีกฝ่าย
จนถึงขั้นที่ไม่อาจหลอมรวมกันได้

เพศสัมพันธ์ที่ขาดการตระหนักถึงธรรมชาติอันไพศาล
และความเกี่ยวพันของพลังงานสองด้าน
มันจึงมีคุณค่าเทียบเท่าเพียงการพบปะกันของก้อนเนื้อ
และอารมณ์ความรู้สึกหยาบๆของพลังงานทางเพศ
โดยที่จิตวิญญาณสองด้านไม่อาจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

เพศสัมพันธ์ของมนุษย์โดยทั่วไปจึงเป็นการพบปะอันผิวเผิน
ที่ต่างฝ่ายต่างใช้เพื่อสนองตอบความต้องการทางกายเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ธรรมชาติอันลึกล้ำจึงไม่อาจหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่ง

แล้วอะไร คือ เครื่องขวางกั้น
แน่นอนไม่มีอะไรกั้นกายของคู่รักให้มามีเพศสัมพันธ์ได้
แต่สิ่งที่เข้ามากางกั้นส่วนใหญ่สิงสถิตย์อยู่ในความรู้สึกของเราเอง

ความรู้สึกที่ถูกวางเงื่อนไขจากสังคม หรือจากองค์กรศาสนา
ก็ในเมื่อหากเรายึดติดกับความคิดใดหรือแบบปฏิบัติใดที่ชอบกล่าวหาว่า
เพศสัมพันธ์เป็น บาป แล้ว การยึดติดนั้น คือ สิ่งที่ควรปล่อยวางมิใช่หรือ

ด้วยเหตุนี้ ณ ขณะที่เพศสัมพันธ์เกิดขึ้น หากจิตใจมีกรอบขอบเขตบางเบา
โอกาสที่พลังงานบริสุทธิ์ของทั้งสองฝ่ายจะได้หลอมรวมย่อมเกิดขึ้น
สิ่งเหล่านี้ยากนักที่จะได้สัมผัส หากเราไม่ได้ตื่นรู้จากกรอบที่ขังหัวใจเราไว้

ณ ขณะที่เรามีเพศสัมพันธ์
เรายอมรับด้วยหัวใจที่เปิดกว้างถึงพลังอีกด้าน
การหลอมรวมย้อมเกิดขึ้น
ณ ขณะนั้นเราจะได้สัมผัสถึงพลังงานที่เป็นหนึ่ง
และเมื่อเราเข้าใจ และตื่นรู้ ด้วยสมาธิ
พลังงานจะถูกแปรรูปไปสู่สภาวะสูงสุด
หรือ นิพพาน

นั่น คือ ตันตระ

ตันตระ คือ หนทางแห่งการนำมนุษย์ไปสัมผัสกับ ความเป็นหนึ่งของธรรมชาติ

เพศสัมพันธ์ แท้จริง มิใช่ ความสัมพันธ์ของชายหญิง แต่เป็นความสัมพันธ์ของ ชาย กับธรรมชาติ ผ่านผู้หญิง
และเป็นความสัมพันธ์ของผู้หญิงกับธรรมชาติ ผ่านผู้ชาย

ชายหญิงในตันตระ จึงเป็นเพื่อนกันทางจิตวิญญาณที่หลอมรวมพลังทั้งหมด

เพื่อเดินผ่านไปสู่ อนันตภาวะ ความรัก ความอิ่มเต็มทางจิตวิญญาณอย่างที่สุด

...........

ฉันผู้โง่เขลา โหยหิว และอ่อนแรง
เธอผู้เจ็บปวดและอ่อนล้า

เรา คือ ผู้จาริกแสวงบุญเพื่อพบอนันตภาวะ

เราจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน

เพื่อเรียนรู้ภาวะแห่งความเป็นหนึ่ง

เพื่อตื่นรู้สู่นิรันดรภาพ

Thursday, September 24, 2009

ในความเงียบ


ตอนเด็ก ผมเคยป่วย จำได้ว่าครั้งหนึ่งปวดหัวมาก จนผมคิดกับตัวเองว่า
ผมมาอยู่ที่ไหนกัน ผมอยากออกไปจากที่นี่ มันเหมือนผมเป็นคนอีกคน มาอาศัยอยู่ในร่างกายอันแสนปวดร้าว
และอยากจะลุกออกไป แต่มันออกไปไม่ได้

ผมเคยรู้สึกโกรธ ทรมาน สำหรับผมมันทรมานมาก มันไม่ได้เจ็บปวดที่ร่างกาย
แต่มันเจ็บปวดไปทั่วทั้งความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่อยู่ภายใน
ผมใช้ทุกวิถีทางเพื่อบรรเทาความร้อนที่หมุนจี๋อยู่
มันทุกข์ทรมานแทบไม่มีทางออก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องมาอยู่ในที่ที่ทรมานแห่งนี้ด้วย

แน่นอนผมไม่ได้มองโลกแง่ร้ายขนาดนั้น ภายใต้ร่างกายและจิตใจมีพื้นที่และวิธีมากมายที่เราจะแสวงหาความสุขได้
การได้กินอาหารอร่อย เครื่องดื่มที่ดี เบียร์ เหล้า การได้ฟังดนตรีที่ดีมีสุนทรียรส การได้ดมน้ำหอม กลิ่นสุคนธ์ของดอกไม้และเครื่องหอม การได้เห็นภาพที่สวยงามทั้งภาพของผู้คนและทัศนียภาพ การได้รับสัมผัสที่นุ่มนวลพอใจ ตลอดจนการเสพรสอักษรหรือความรู้สึกที่ชุ่มชื่นหัวใจ ทั้งหมดเป็นหนทางที่เราแสวงหาได้ไม่ยากนัก ตามกำลังทรัพย์ กำลังสติปัญญา อันหลากหลาย

แน่นอนที่สุด ผมเป็นมนุษย์ธรรมดาที่หลงไหลเพลิดเพลินไปกับรสเหล่านั้น
โดยใช้ประสาทสัมผัสที่มี ทั้งทางกายและใจ

แต่หลายครั้ง ที่ผมอยู่คนเดียว นั่งมองสิ่งต่างๆพร้อมกับความอึดอัด
ใจสั่งการให้ผมทำอะไรบางอย่าง แต่ในขณะนั้นไม่มีปัจจัยมาสนองตอบได้
มันกลายเป็นกิจกรรมนอนดูเพดานในบางช่วง
มันคล้ายหนังเรื่อง lost in translation

.........

ในความเงียบ ของคืนนี้

ผมเห็นแขน และมือ ขยับไปบนแป้นพิมพ์
ใจที่หยุดนิ่ง มึนชา ผมไม่รู้ว่าผมจะแสวงหาอะไรได้อีก
ความสุขแบบเดิมๆ ช่างสั้นเหลือเกิน
ความรักบางทีก็หวานและมันก็ปวดร้าวได้เช่นกัน
ผมไม่กินเหล้ามานานมาก ผมรู้สึกว่ามันไม่อร่อยอีกแล้ว
ผมยังสูบบุหรี่อยู่ บางทีอาจเป็นสิ่งน้อยสิ่งที่ผมยังรู้สึกว่ามันเป็นเพื่อนผมได้
ผมรู้สึกว่าผมไม่มีเพื่อน แต่ผมก็เฉยๆ ไม่ได้ต้องการใคร ทั้งๆที่สมัยก่อนผมมีเพื่อนเยอะแยะ
ทั้งเพื่อนกินและเพื่อนตาย แต่ผมรู้สึกว่าไม่มีใครช่วยผมได้จริงๆสักคนและคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ผิดอะไร

บางสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันคือร่างกายและความรู้สึกที่ยึดโยงอยู่ภายใน

ลมหายใจเข้าออก ความอุ่น เนิ้อหนัง ความรู้สึกหลากหลายเกาะกุมเข้ากันอยู่

ผมยังอยู่ในที่เดิม

ถูกกักขังไว้ ในโลกไร้ฤดูกาล

ผมไม่ได้ดิ้นรนจะออกไป เพราะผมดิ้นจนหมดแรง

ร่างกาย จิตใจ ในความเงียบ ซึ่งอันที่จริงไม่ควรมีอะไรมาอธิบายเพราะแสดงว่ามันไม่เงียบจริง
แต่จะทำไงได้ ภาษามันมีไว้สื่อสาร

...............

ในความเงียบ

ร่างกายยังทำงานของมันไป

จิตใจยังดิ้นกุกกักไม่พักผ่อน

ผมรู้สึกถึงมัน
ในความเงียบ

Monday, September 07, 2009

คาลิล ยิบราน : ความรัก บทกวีที่ผมหลงไหล


ในบรรณพิภพโลก มีกวีเอกสามลำดับแรก คือ เชคสเปียร์ เล่า จื้อ และ ยิบราน สำหรับ เชคสเปียร์ คือ ยอดกวีโรแมนติก เล่า จื้อ คือ กวีแห่งสัจจะธรรมชาติลัทธิเต๋า แต่ ยิบราน กวีชาวเลบานอนผู้นี้ คือ สุดยอดกวีผู้ทำให้เด็กชายคนนึง ( ผมเอง ) หลงไหลในการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะ กวี ที่หาคนอ่านยากขึ้นทุกวัน

ปรัชญาชีวิต เป๋นหนังสือสร้างชื่อให้กับยิบราน ในหนังสือเล่มนี้มีการกล่าวถึงหัวข้อต่างๆหลายหัวข้อ และความรักก็เป็นหนึ่งในนั้น และเป็นเรื่องแรกที่ยิบรานกล่าวถึง หากใครเคยอ่านคงจำได้ ว่ายิบรานกล่าวถึงความรักไว้ ตรงไปตรงมา เสียดแทง บาดลึก เพียงใด และเช่นกัน ผมเองในฐานะผู้อ่าน ก็มีสิทธิที่จะตีความไปตามสิ่งที่ผมเข้าถึง บทกวีของยิบรานที่ผมหลงไหล และความรักผ่านการตีความบทกวีของผม

เมื่อความรักร้องเรียกเธอ จงตามมันไป
แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกรานไปฉะนั้น


คนเราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เราถูกสร้างมาให้มีรัก รักอยู่ภายในกายใจของเรา เมื่อรักทำงานครั้งใด หัวใจมักเกิดไออุ่น แน่นอนที่สุดเมื่อมันเกิดขึ้นก็มีทั้งคนที่กล้าๆกลัวและปล่อยโอกาสให้ผ่านไปด้วยความกลัวนั้น แต่เมื่อใครเดินตามความรักและได้พบกับคนรักสมใจ ความรักย่อมเกิดขึ้นแก่เขาทั้งคู่ ในความรักหัวใจของเขาทั้งคู่ต่างถูกผูกมัดจากแรงธรรมชาติไว้อย่างเหนียวแน่น และในความรักเราทุกคนต่างต้องเผชิญกับปัญหา ความเจ็บปวด บางครั้งมันเจ็บปวดดังหนามแหลมทิ่มแทงจริงๆ จนแทบจะบดเราให้แหลกลาญไปบนเตียงนอนอาบน้ำตา

เพราะแม้ขณะที่ความรัก สวมมงกุฎให้เธอ มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง
และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก
และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย


เมื่อความรักเกิดขึ้น มันต้อนรับเราด้วยความโรแมนติก ความหวานชื่น ดอกไม้ แรงบันดาลใจ ความคิดถึง ห่วงหา ปรารถนา ดังมิรู้อิ่มพอ โดยที่เราหารู้ไม่ว่าเรากำลังถูกผูกมัดด้วยกำลังแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่และปราดเปรื่อง ความรักทำให้เรารู้จักให้ แบ่งปัน แต่ในขณะเดียวกันมันจะตัดความเป็นตัวเราให้เล็กลง ในความรัก หากเรายืนยันแต่อัตตาของเรา ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นเสมอ ความรักจะตัดทอนอัตตาให้เรา พลังแห่งความรักจะหยั่งลงลึกในดวงจิต ในจิตใต้สำนึก หากเรายืนยันแต่อัตตาของเรา เมื่อความขัดแย้งระหว่างคนสองคนเกิดขึ้น เราจะเจ็บปวด แต่แท้จริง ความรัก กำลังถอนฟันผุๆ ซี่หนึ่งให้เรา การถอนย่อมมีการเขย่า และความเจ็บปวด หากใครทนความเจ็บปวดไม่ได้ ท้ายที่สุดเขาทั้งคู่ก็ต้องแยกจากกันไปอยู่กับฟันผุๆของตน

ความรัก ... จะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาว
แล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า


แน่นอนที่สุด เราเป็นมนุษย์เห็นแก่ตัว เป็นข้าวที่ยังไม่ได้หุง เป็นปลาที่ยังไม่ได้ขอดเกล็ด พวกเราดิบมากในแบบของพวกเรา แน่นอนที่สุดความรักดุจดัง พ่อครัวชั้นเลิศ หน้าที่ของเขา คือคัดสรรวัตถุดิบเอาไปปรุงอาหาร เมื่อเราถูกความรักหยิบจับ แน่นอน หากเราเป็นปลา เราก็ติดเบ็ด คือความโรแมนติก จากนั้น ชะตากรรมที่ดูไม่น่าพิสมัยจะเกิดขึ้นกับเรา เราต้องอยู่ร่วมกับคนอีกคน แบ่งปันกับเขา ขัดแย้ง ร่วมทาง ร่วมทุกข์ ร่วมสุข มันเหมือนกะทะตั้งน้ำมันร้อนๆ เลยทีเดียว หากเราผ่านขั้นตอนของมันไปได้ เราจะเติบโตขึ้นมาก เราจะละวางความเป็นตัวเราลง เราให้มากขึ้น ถ้าเรายึดติดน้อยลง ให้มากขึ้น เราจะมีหัวใจดวงใหญ่ขึ้น และมีพลังแห่งความรักบริสุทธิ์มากขึ้นเช่นกัน แต่ถ้าใครไม่ผ่าน พ่อครัวอาจพาเราลงถังขยะ เราจะกลายเป็นมนุษย์ในถังขยะ ไม่ได้ขึ้นเหลาพระเจ้า

ความรัก ... จะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ
เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับ ของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่ง ของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุข
และความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่าที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตน
และหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด
ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล ...
ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่


ใครหลายคน (รวมทั้งผม) ที่เคยต้องถูกความรักบดขยี้ จนมาถึงขีดจำกัดของหัวใจ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด ณ ขณะนั้น คือ การเลิกรา การเลิกราแท้จริงหาได้พรากความเข้าใจที่เรามีต่อเขาไปไม่ หากการเลิกราบางครั้งแสดงออกถึงความสิ้นเรี่ยวแรง และความน่าเบื่อเหลือทน แต่กระนั้นความเจ็บปวด สำหรับผมแล้ว มันช่วยได้มากในการที่ผมจะกลับมาศึกษาเรื่องของหัวใจ ก้มลงไปมองหัวใจตนเอง เพื่อจะเติบโตต่อไป เพื่อที่มีความสุขมากขึ้น ทุกข์น้อยลง ความเจ็บปวดเกิดขึ้นจากผู้อื่น นั่นเป็นมุมมองโง่ๆที่ผมเคยมี แต่ผ่านความรัก ผมได้รู้ว่า หากเราจะต้องรัก จะต้องอยู่กับใครสักคน หากเราเจ็บปวดได้น้อยที่สุดคงจะดีมิใช่น้อย สิ่งที่ผมค้นพบ คือ หัวใจของผมเต็มไปด้วยเรื่องราว ความคิด ทัศนะคติ และเมื่อผมปล่อยวางมันลงได้ กรอบของหัวใจก็ขยายขึ้น หรือค่อยๆถูกทำลายไป สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อเราจริงใจกับหัวใจตนเอง ค้นให้เจอต้นตอในหัวใจของเรา สิ่งเหล่าานี้เราต้องมองให้เห็น หาให้เจอ และกระทั่ง แบบแผนความดีที่เรายึดติด และใช้ตัดสินผู้อื่น ครั้งใดที่การตัดสินเกิดขึ้น ครั้งนั้น คนรัก ย่อมเป็นทุกข์ และตัวผมก็เป็นทุกข์ เพราะไอ้แบบแผน ความคิดนี่แหละ ที่ผมเอามันมากรีดหัวใจตัวเอง โง่จริงๆ

ความรัก ... ไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใด นอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้น พอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก


ผมได้เรียนรู้ว่า ความรัก ซ่อนลึกในหัวใจทุกคน ดุจดังดวงจันทร์กระจ่างฟ้า แต่เรามองไม่มันถนัดนักเพราะมักมีเมฆหมอกมาบดบัง เมฆหมอกดังกล่าว คือ กรอบของหัวใจเราเอง ความรักมันอยู่ของมันอย่างนั้นแหละ เมื่อเมฆหมอกผ่านไปเราจะเห็นมันอยู่ตรงนั้น ดวงจันทร์ไม่ครอบครองเรา และ เราไม่อาจครอบครองมัน แต่ถ้าไปถึง คืน แห่งฟ้ากระจ่าง ดวงจันทร์ย่อมให้แสงเย็นแก่เรา ผมยังไปไม่ถึงจุดนี้อย่างเต็มที่หรอก แต่ก็พอรู้สึกถึงความรักได้บ้างในหัวใจ


เมื่อเธอรัก อย่าได้พูดว่า ...
พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา
แต่ควรพูดว่าเราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า
และอย่าได้คิดว่า ... เธอสามารถนำแนวทางของความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่า เธอมีคุณค่าพอแล้ว ก็จะเป็นผู้นำแนวทางของเธอเอง
ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์
แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
... ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้


เรามนุษย์ตัวน้อย แต่รักนั้นยิ่งใหญ่ และเป็นพลังสากล เราย่อมเล็กกว่าความรัก แต่มีเพียงบางคนที่ได้เดินทางไปถึงและอาศัยอยู่ ณ ความรัก ถ้าเราทำลายกรอบของหัวใจได้มาก เรา คือผู้เหมาะสม ที่จะรัก มันไม่ได้เกี่ยวว่า คนที่เรารักเป็นใคร มันเกี่ยวกับว่า เรามีความรักในหัวใจเราหรือไม่ต่างหาก ข้อนี้ ผมว่า ผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชายนะ และการที่เราทำลายกรอบหัวใจได้มาก รักได้มากขึ้น เราย่อมสมบูรณ์ขึ้น เติบโตขึ้น มีวุฒิภาวะมากขึ้น ตัดสินน้อยลง สงบมากขึ้น แต่สิ่งที่เราต้องฟันฝ่า คือ ความปรารถนาของเราเองนั่นเอง



เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยน ละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บ ด้วยความเข้าใจ ในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติ และขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุข ซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำ ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ


ความปรารถนา เป็นเครื่องกีดกันหัวใจของเราจากความรัก หลายครั้งที่ผมพบว่า ผมรักได้น้อยลง ทุกข์มากขี้น เพราะผมถูกความต้องการ ความคิด ทัศนะคติ ของตนเองขีดขั้นเอาไว้ มันอาจจะถูกสำหรับอัตตาตนเอง แต่มันอึดอัดเป็นทุกข์ เพราะความรักที่บริสุทธิ์ส่องไม่ถึงใจเรา เมื่อเรามีความรัก และเราต้องทุกข์ อย่าไปโทษใคร โทษ ความปรารถนา จะให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ของเรา ดีกว่า เมื่อเราเห็นมัน มันจะค่อยๆหายไป สำหรับผม ถ้าผมไม่เคยมีความรัก ผมคงไม่เติบโตขึ้น ไม่มีความสุข ความเข้าใจในตัวเอง มากเท่าทุกวันนี้ ผมไม่ได้คิดว่าตนเองดี แต่คิดเสมอว่า ผมจะมีความสุขมากขึ้นได้อย่างไร และด้วยการค้นหากรอบในหัวใจตนเองที่ความรัก ความทุกข์ชี้นำให้ มันง่ายขึ้นที่จะมีความสุข แม้จะต้องเจ็บปวดบ้างก็ตาม

และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนา สำหรับคนรักในดวงใจ
และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ ...


ผมขอบคุณ คนรัก ที่ทำให้ผมได้ฝึกปรือหัวใจ สอนหัวใจดวงโง่ๆ ดิบๆ ให้นุ่มนวล รู้จักแบ่งปัน ลดความเห็นแก่ตัว ลดกรอบ ขนของที่ไม่จำเป็นออกจากห้องอันรกเรื้อ ผมมีความสุขมากขึ้นจริงๆ และผมเชื่ออย่างแม่นมั่นว่า สิ่งที่ยิบรานกล่าว เป็นมากกว่า บทกวีโรแมนติก แต่คือ สัจจะ

.................................

ผมอ่าน ยิบราน ครั้งแรก ตอนอายุ สิบสี่ปี ครั้งยังเป็นหนุ่มน้อย ยังไม่รู้จักจีบสาว ผมอ่านไม่รู้เรื่องหรอก สิ่งที่ผมจำได้ มีแต่คำว่า ความรักเท่านั้น ผ่านไปสิบเจ็ดปีแล้ว ผมพบว่า ด้วยหัวใจของเราและการเรียนรู้ของเราเท่านั้น ที่จะทำให้เราเข้าใจมันได้

ความรักเตรียมให้เราครึ่งเดียว ครึ่งที่เหลือเราต้องทำ

เพราะแม้เวลาที่เราพูดถึงความรัก เรามักนึกใครอีกคน

แต่สำหรับผม ความรัก คือ ปฏิบัติการของปัจเจกบุคคล และเป็นบทพิสูจน์ความยิ่งใหญ่แห่งหัวใจของแต่ละบุคคล

เพราะสุดท้าย แม้เราจะพบกัน แต่เราก็ต้องตายจากกัน

เมื่อความตายมาถึง เราต้องเผชิญมันอย่างเดียวดาย ด้วยคุณภาพหัวใจของเรา

และบางที สิ่งที่ ยิบราน กล่าว คือ สนามฝึกฝน ลานบด ชั้นดี

เพื่อให้เราได้กลายเป็น อาหารทิพย์ของพระผู้เป็นเจ้า

Friday, August 28, 2009

อำสะเตอดำ



ไป อำสะเตอดำ มา สวยดี เอารูปมาฝาก










Thursday, August 20, 2009

Praha




ไป ปราก Praha Prag Praga Praque สวยดี เมืองนี้อาร์ทมาก
ราคาไม่แพง สวย ชอบๆ สนุกๆ











Sunday, August 16, 2009

ยิบรานอีกสักที



ผมมีความเชื่ออย่างแน่นแฟ้นว่าหน้าที่ในการเกิดมาเป็นมนุษย์ คือ การฝึกฝนตนเองเพื่อมีหัวใจที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
นั่นหมายความว่า หัวใจจะมีความสุขมากขึ้น เงื่อนไขน้อยลง รักได้มากขึ้น เจ็บปวดน้อยลง
ในการฝึกฝนตนเอง ประสบการณ์เป็นสิ่งที่จำเป็น
และความรักก็เป็นประสบการณ์ที่ดีในการฝึกฝน
ยิ่งคนเราแบกรับ ความทุกข์ ความเจ็บปวด ได้มาก
กระทั่งถึง การโยนแอกแห่งความเจ็บปวด ออกจากใจได้
มนุษย์ก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีวิวัฒนาการสูงขึ้น

คาลิล ยิบราน เป็น กวี นิรันดรกาลลำดับสาม ลองจาก เชคสเปียร์ กับ เล่าจื้อ
เขาเป็น กวี ต่างชาติคนแรกที่กระแทกใจผม
และยามใดที่ผมต้องเผชิญความทุกข์ในลานบดแห่งชีวิต
บทกวีของยิบรานกลายเป็นบทสวดมนต์ของผม
เพื่อที่จะเดินต่อไป ในเส้นทางแห่งวิวัฒนาการแห่งนี้

ผมนำ บทกวีนี้ มาใส่ไว้ใน บล็อกอีกสักครั้ง
เพื่อที่จะตักเตือน เติบโต และเป็นกำลังให้ชีวิตต่อไป


...................


เมื่อความรักร้องเรียกเธอ จงตามมันไป
แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกรานไปฉะนั้น

เพราะแม้ขณะที่ความรัก สวมมงกุฎให้เธอ มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง
และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก
และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย

ความรัก ... จะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาว
แล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า

ความรัก ... จะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ
เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับ ของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่ง ของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุข
และความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่าที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตน
และหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด
ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล ...
ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่

ความรัก ... ไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใด นอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้น พอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก


เมื่อเธอรัก อย่าได้พูดว่า ...
พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา
แต่ควรพูดว่าเราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า
และอย่าได้คิดว่า ... เธอสามารถนำแนวทางของความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่า เธอมีคุณค่าพอแล้ว ก็จะเป็นผู้นำแนวทางของเธอเอง
ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์
แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
... ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้



เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยน ละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บ ด้วยความเข้าใจ ในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติ และขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุข ซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำ ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ

และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนา สำหรับคนรักในดวงใจ
และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ ...

Thursday, August 13, 2009

หัวใจดวงน้อย กับ ดวงใหญ่ที่สุดในโลก


ผมไม่รู้ว่าผมจำความได้ตอนกี่ขวบ
พอเริ่มเห็นแสง เห็นหน้าผู้คน ฟังรู้เรื่อง ด่าเป็น
ก็รู้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากผม
ผู้หญิงที่มีหัวใจดวงใหญ่ที่สุดในโลก
แม่ผมเอง

แม่ ไม่ว่าของผม หรือของคุณ เป็นคนที่สวยที่สุดเสมอ
ทำอาหารอร่อยที่สุด ซักผ้าสะอาดที่สุด กอดเรา หอมเรา
รักเรามากที่สุด วัยเด็กสำหรับคนมีแม่ จึงเป็นความสมบูรณ์
หากใครไม่มีแม่ ให้แม่ผมไปกอดคุณก็ได้
แม่กอดดีนะ กอดที่ไรผมมีความสุขทุกที
แต่ต้องคืนนะ ของรักของหวง

บ้านผมเป็นร้านขายของชำตามต่างจังหวัด
พ่อผมมีอาชีพ ทำนาและเป็นกำนัน
แม่ผมขายของ
ผมจำได้เราเคยมีอาชีพขายผ้าตามตลาดนัด
สมัยก่อนตลาดนัด มันเป็นตลาด นัด จริงๆ
คือในหนึ่งเดือนจะมี ๓๐ นัด สองรอบ รอบละ ๑๕ นัด
เริ่มงงละซิ ตลาดนัด คือ นัดกันจัดตามวัด ๑๕ วัด วัดละสองรอบต่อเดือน
โดยการนัดจะนับตามระบบดวงจันทร์
ขึ้น ๑ ค่ำ วัดนี้ ขึ้น ๒ ค่ำ วัดโน้น เป็นต้น

แม่ผมเป็นคนสวยนะ ส่วนพ่อผมเป็นชาวนาตัวดำ หน้าแก่
เวลาไปขายของกันที่ตลาดนัด ชอบมีคนมาจีบแม่
พอจีบแม่เสร็จ ก็เดินเข้าไปไหว้พ่อผม เพราะนึกว่า พ่อผมเป็น พ่อของแม่
เมื่อถึงเวลาเฉลยทีไร ไอ้หนุ่มโชคร้าย ก็จะเดินหน้าเจื้อนหนีไป
เกือบเจอบาทา

ผมชอบไปที่ตลาดนัด วิ่งไปร้านโน้น ร้านนี้
กินขนม ไอติม ก๋วยเตี๋ยว ลอดช่อง สารพัด
พอกลางวันก็นอนหลับไป รู้ตัวอีกที
ก็มานอนอยู่บนรถ ในระหว่างทางกลับบ้านซะแล้ว

นึกแล้วก็มีความสุข
ผมก็คาดเดาว่าตอนนั้น
พวกคุณก็มีความสุขเช่นกัน
เพียงแต่เราเกิดกันในคนที่ คนละบริบท ก็เท่านั้น
ความสุข หน้าตา มันเหมือนกันหมดแหละครับ
มันไม่เลือกที่เกิด หรือคนที่มันจะเกิดด้วย

..................

ตอนผมหกขวบ
มันเป็นตอนกลางคืน
ผมนอนร้องไห้อยู่บนเตียง

ผมเปลี่ยนสถานภาพตัวเอง จากลูกของแม่
มาเป็นนักเรียนประจำซึ่งตั้งอยู่อีกจังหวัด
ตอนกลางวัน ไม่กล้าร้อง อายคน
พอดับไฟเข้านอน น้ำตาก็ไหลออกมา
หลังจากที่กลั้นไว้ทั้งวัน
นอนร้องไห้ ในความมืด
ตอนนั้น ผมคิดว่าช่างน่าอาย
แต่ใครจะไปรู้ ในค่ำคืนนั้น อาจมีผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกับผม
ลูกของแม่ทั้งหลายที่อาจนอนร้องไห้น้ำตาเปรอะหมอนเช่นเดียวกับผม

คุณเชื่อไหม นับแต่วันนั้น วันแรกในโรงเรียนประจำ
บ้าน ไม่ใช่ภูมิลำเนาของผมอีกต่อไป
หกปี ที่ได้อยู่กับแม่ และกว่า ๒๕ ปีแล้วที่ผมออกจากบ้านมา
อย่างที่ผมบอกคุณว่า เมฆบ้า พเนจร จริงๆ
จากบ้านเกิดของผม ไปอยู่อีกจังหวัด ๖ ปี
อยู่เมืองหลวงอีก ๑๗ ปี มาอยู่เมืองนอกก็เข้าปีที่สอง
แต่ผมก็ไม่เคยลืมบ้าน

บ้านที่พอผมไปถึงและลงจากรถเมื่อไร
จะมีผู้หญิงแสนสวยยืนยิ้มรอผมอยู่
ผู้หญิงที่เคยกอดผมมาตั้งแต่เด็ก

.................

มันเหมือนเม็ดน้ำ น้อยๆ ที่ได้ไหลคืนกลับทะเล
เป็นความไพศาล สงบ ลึกล้ำ เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน
เมื่อเราไหลกลืนเป็นเนื้อเดียวกับความกว้างใหญ่ของความรัก

หัวใจดวงน้อย กับ ดวงใหญ่ที่สุดในโลก
คือ ผม กับ แม่ผม
และคุณ กับ แม่ของคุณ
ซึ่งเธอก็มีหัวใจดวงใหญ่ที่สุดสำหรับคุณเช่นกัน

..................

Sunday, August 09, 2009

เรื่องของหัวใจ ตอนที่ ๒


ผมเพิ่งกลับจากไอริชผับ ข้างๆโบสถ์ประจำเมืองมิวนิก ฟังเพลงร๊อคที่ไม่ได้ฟังมานาน
คนยุคผม ราวๆสามสิบต้นๆ ต้องนี่ครับ
Nirvana ของพี่ Kurt Kobain Gun and Rosess Metallica
Bryan Adam หรือ ถ้าออกบริทป๊อป ก็ต้อง Oasis Blur Greenday
อากาศมิวนิกตอนนี้กำลังดีครับ ร้อนนิดๆ กลางคืนเย็นๆ
พูดถึงเพลงร๊อค ทำให้ผมนึกถึง เรื่องของหัวใจ ตอนที่ ๒
.............


บนเวทีปราศรัย มองออกไป มีคนหลายพันอยู่ ผมถูกส่งขึ้นไปพูดคนแรก
เขาเรียกผมว่านักวิชาการ ในมือผมมีกระดาษสองสามแผ่น

เวลาที่อยู่บนนั้น ผมรู้สึกว่าหัวใจผมร้อนผ่าว มันเหมือนไฟ
ผมจำได้ว่า สมัยผมเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งดวงจันทร์
สิ่งที่ผมชอบที่สุด คือ การขึ้นไปร้องเพลงบนเวที
ผมจำได้ผมมีวงดนตรี ครั้งสุดท้ายเล่นในงานรับน้องคณะกฎหมาย
ผมว่าในโลกนี้ มีคนจำนวนน้อยที่หัวใจผ่านความรู้สึกแบบนี้

การร้องนำ มีคนเต้น เคลื่อนไหวไปตามจังหวะดนตรี

แต่การปราศรัย ผมจำได้ว่า ผู้คนที่อยู่ข้างล่าง ยืนนิ่ง
ปากของผมขยับไป ผมไม่ได้ยินเสียงตัวเอง
มันเหมือนหนังเงียบ มีคนมากมายยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า
ฟังคนหูตึง คนหนึ่งพูด

ขณะที่ผมก้าวออกจากไมโครโฟน
ผมได้ยินเสียงปรบมือ และผู้คนตะโกนขับไล่
ใครคนใด คนหนึ่งที่ผมพูดถึง
หัวใจผมรู้สึกโล่งๆ

เสียงปรบมือ เสียงขับไล่ สีเหลือง แสงไฟ
โฆษก นักพูด การเมือง สงคราม ความคิด อารมณ์
ท้องฟ้า เมฆ วัด ต้นไม้ และสิ่งรายลอบ

ผมเดินออกจากเวทีแห่งนั้น มีผู้คนที่ผมไม่รู้จักเข้ามาทักทาย จับมือ
เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่มีคนมาขอลายเซ็น
ลายเซ็นที่ผมเซ็นในฐานะของผมเอง

ผมเดินหายกลับเข้าไปใน มหาวิทยาลัยแห่งดวงจันทร์

มันไม่เหมื่อนเดิน มันเหมือนลอยกลับเข้าไปมากกว่า ผมรู้สึกเช่นนั้น
ผมจำหนังเรื่อง Gladiator ได้ ผมรู้สึกราวกับเป็นนักสู้ที่ออกไปปล้ำกับสิงโต
และเพิ่งรอดชีวิตเดินกลับมา


ขณะที่ผมเดินมาถึง ตึกโดม

ผมพบชายคนหนึ่ง คนที่เมตตา และสร้างผมมาในทางวิชาความรู้
เป็นคนที่ให้โอกาสที่ดีกับผมเสมอ

ชายคนนั้น นั่งยิ้มอยู่อัฒจรรย์หินหน้าตึกโดม
ยิ้มให้ผม

ผมเข้าไปนั่งข้างๆ ชายคนนั้นตบไหล่ผม และบอกว่า ดีมาก

ผมรู้สึกมีความสุข

หัวใจผมยิ้ม

มันร้อน ปราดเปรียว ดังกระทิงหนุ่มผู้ไม่กลัวความตาย

มันพร้อมจะวิ่งต่อไป

เพราะที่ผ่านมา

เรื่องมันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

.............


เพลงร๊อค นานๆฟัง มันก็ดีนะ

มันเป็นเพลงของคนหนุ่ม แต่ผมไม่ชอบร๊อคขนาด Heavymetal ประเภท Ironmeiden
Blacksabbaht Sepultular ประมาณ Metalica พอไหว

Dreamtheater วงนี้สุดยอด วงโรงลครแห่งความฝันเป็นสุดยอด Progessiv Rock
จำได้มือเบสวงนี้เป็นลูกครึ่ง เวียดนาม-เมกัน ชื่อ จอน เมี่ยง คนในรูป

.....................

ร๊อค

ฟังแล้ว จะได้ยินหัวใจเต้นแรงขึ้น เวลาเสียงกลองฟาดเข้ากลางใจ
ฟังแล้ว จะได้ยินหัวใจโยกตัว ตามเสียงเบส
ฟังแล้ว บางครั้งหัวใจอาจเจ็บแปรบด้วยเสียงกีต้าร์

แต่ก็ยังดี

ยังดี ที่มีหัวใจ

Monday, July 20, 2009

เรื่องของหัวใจ ตอนที่ ๑



Jack Johnson ส่งเสียงดังในห้องผม
ผมไม่ได้เปิดพลงฟังมานานพอดู
สมัยก่อนผมชอบฟังเพลง ฟังแล้วรู้สึกเย็นที่หัวใจ
ในบรรดาอวัยวะ ผมให้ความสำคัญกับ หัวใจ มากกว่าสิ่งอื่น
ระหว่าง คนฉลาด กับ คนกล้า ผมชอบคนกล้ามากกว่า
ระหว่าง ผู้หญิง กับ ผู้ชาย ผมชอบผู้หญิงมากกว่า
เพราะผู้หญิงใช้หัวใจมากกว่าหัวสมอง
สำหรับผม หัวใจ คือเมืองหลวง ส่วนหัวสมองเป็นเมืองท่าค้าขาย
แต่ในทุกวันนี้สังคมค้าขาย กลับให้ความสำคัญกับเมืองท่ามากกว่า
ในขณะคนเมืองหลวง กลายเป็นคนไร้เหตุผล ตามที่คนเมืองท่ายัดเยียด

แน่นอนที่สุดครับ คนเมืองหลวง ก็ต้องใช้สมอง
แต่สมองก็มีหน้าที่จำกัด และควรจะมีหน้าที่จำกัด

ใครจะว่าผมโง่ก็ว่าเถอะครับ
ผมยอมรับว่าผมใช้หัวใจมากกว่าหัวสมอง
เพราะหัวสมอง มักจะโง่ที่สุดในเรื่องความสุข เช่นกัน

ผมยอมบวกเลขผิด แล้วมีความสุข
ถ้าผมจะขาดทุน แล้วผมรู้สึกตัวเบาขึ้น
ผมก็ยอม

.............

นั่งอยู่เมืองนอก เงียบสงบดี
แต่พอผมก้มมองหัวใจตัวเอง ยังพบว่า
แม้ว่าผมจะมาอยู่ในที่สงบ
แต่หัวใจของผมยังคงเหนื่อยอ่อนพิกล

...........

จำได้ว่าสักสี่ห้าปีก่อน ผมค่อนข้างมีความสุข
ไปทำงาน สอนหนังสือ อยู่กับนักศึกษา
บางครั้งสอนหนังสือเสร็จตอนเช้า ตอนบ่ายก็กลับบ้านมานอนหลับ

ตกเย็นบางทีก็นั่งรถเข้าเมือง มาแถวธรรมศาสตร์
มาตรอกข้าวสาร แน่นอนที่สุดผมชอบไปบริกบาร์
หาเพื่อนที่ถูกใจคุยกัน กินเหล้าดีๆ ฟังเพลงเร็กเก้ ที่ผมชอบ
สนุกครึกครื้นไปวันๆ ไม่คาดหวังอะไร ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
ในแต่ละวัน ส่วนความรัก ขอพักไว้ก่อน เพราะยังไม่เจอใครที่ถูกใจจริงๆ

................

มีอยู่วัน ผมไปสอนหนังสือตามปกติ
ซึ่งวันเสาร์ โดยปกติผมจะไปสอนที่ อุบลราชธานี
ในวิชากฎหมายปกครองท้องถิ่น

พอไปถึงนักศึกษามาเชิญให้เป็นวิทยากรในการสัมมนาครั้งหนึ่ง

ผมก็พูดไปตามที่ผมรู้

.............

จนในที่สุด ผมก็พบตัวเองอีกครั้งบนเวทีการปราศรัยกลางสนามหลวง

ตั้งแต่นั้นมา การเดินทางของผมก็เริ่มขึ้น

โดยผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าผมจะเดินทางไปไหน

รู้แต่ว่า มีสิ่งหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าผม แล้วผมเดินตาม

สิ่งนั้น คือ หัวใจ ผมเอง

.........

โปรดติดตามตอนต่อไป

เมฆบ้า

Friday, July 17, 2009

zen ในมุมมองหนึ่ง


ในบรรณภิภพอันไพศาลทั้งไทยและเทศ ในบรรดาหนังสือ หมวดปรัชญา ศาสนา เซน คือ เมกกะ ที่ผู้จะนับตนว่ามีรสนิยมในการเสพอักษรต้องเหยียบย่างจาริก โดยการยืนอ่านกระทั่งการจับจองเป็นเจ้าของกันคนละเล่มสองเล่ม

เซน มี เสน่ห์ สำหรับ ปัญญาชน เสน่ห์ของ เซน คือ ความลึกลับ คลุมเครือ ยิ่งลึกลับ คลุมเครือ เข้าใจได้ยาก เหล่านี้ คือ รสอักษร
ที่ปัญญาชนดูชอบละเลียดเล็มเป็นยิ่งนัก

ใครจะนับตนว่า "ฮิป " " ชิล " "เทพ" และ ไม่เกรียน นอกจากการแต่งกายสะพายย่ามหรือเป้แล้ว ยามเข้าร้านกาแฟสตาร์บัก เมื่อวาง คาปู ลงบนโต๊ะ และหย่อนก้นลงบนโซฟานุ่ม ถ้าหยิบ เซน ขึ้นมาอ่านสักเล่ม ก็คงดูดีมิใช่น้อย ขั้นเทพ ขั้นเทพ

และใครบังเอิญเส้นทางชีวิตต้องไปเรียน สาขาปรัชญา ถ้ามีคนถามเขาถึงเซน ก็ต้องวางมาดวางภูมิเล็กน้อย พร้อมต่อด้วยคำอธิบายเชิงปลากรายประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น นิห่ง และถ้าจะดี ต้องตบท้ายด้วย นิทานเซน เช่น ชาล้นถ้วย ก็คงดูน่าเชื่อถือดี

ผมรายงานสิ่งที่เห็นเกี่ยวกับ เซน ให้ทราบ ไม่ได้ประชด แม้ว่าภาษาจะดูประชัน

............


ย้อนกลับไป ราวคราวที่ สิทธทัตถะ ยังนั่งอยู่โคนต้นโพธิ์ ในคืนนั้น ก่อนที่ท่านจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อมา และก่อนที่พระองค์จะประกาศศาสนา ก่อนที่จะมีพระไตรปิฎก ก่อนที่จะมีวัดวาอาราม หรือ โบถส์ราคาสองพันล้าน หรือ เจดีย์บ้าบุญที่รูปร่างเหมือนยาน UFO ก่อนที่ภาษาจะถูกถ่ายทอด

คือขณะที่ สิทธิทัตถะ นั่งอยู่ ผมหมายถึง สิทธิทัตถะ คนเดียวกับที่พวกเราๆเรียนในวิชาพุทธศาสนาตอนเด็กๆ คนเดียวกับที่ Herman Hesse เขียนถึง คนเดียวกันกับที่พวกฝรั่งชอบเอาไปตั้งไว้ตามตู้โชว์รองเท้า ชุดชั้นใน กระทั่งร้านตัดผม คนเดียวกับที่พวกทอลีบัน ระเบิดเล่น คนเดียวกัน

ขณะก่อนที่คำพูด คำจารึก ถึง พระองค์จะปรากฏ
ขณะที่พระองค์นั่งสงบนิ่ง อยู่โคนต้นโพธิ์ ริมน้ำ
ขณะที่พระองค์ทรงเหนื่อยอ่อนจากความพยายามในทุกวิธี
ขณะที่พระองค์กำลังจนพระปัญญา
ขณะที่ความทุกข์ย่ำยีหัวใจพระองค์จนไม่มีชิ้นดี

ขณะที่พระองค์ไม่รู้เรื่องที่คิด แต่รู้ว่ามันเป็นแค่ความคิด
ขณะที่พระองค์ไม่เห็นร่งของพระองค์ แต่เห็นเพียงร่างกาย วัตถุธาตุ
ขณะที่พระองค์ไม่เห็นภาพ แต่รู้ว่ามันเป็นแค่แสง
ขณะที่พระองค์ไม่รู้สึกทุกข์ แต่เห็นทุกข์สุขเท่าเทียม
ขณะที่พระองค์ไม่เห็นการย่ำยี แต่รู้ว่ามันคือกระแส

ขณะที่พระองค์ รู้สึก ถึงสิ่งต่างๆที่เคลื่อนไหวอยู่ในพระองค์
ในขณะที่พระองค์นั่งอยู่ที่ตรงนั้น ใต้ต้นโพธิ์ธรรมดา
ริมแม่น้ำธรรมดา

............

เซน มุ่งกล่าวถึง ขณะนั้น

ขณะนั้น ในคืนนั้น ก่อนที่ท่านจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อมา และก่อนที่พระองค์จะประกาศศาสนา ก่อนที่จะมีพระไตรปิฎก ก่อนที่จะมีวัดวาอาราม หรือ โบถส์ราคาสองพันล้าน หรือ เจดีย์บ้าบุญที่รูปร่างเหมือนยาน UFO ก่อนที่ภาษาจะถูกถ่ายทอด

และ เซน ก็คือ หนทางที่จะเข้าสู่ขณะนั้น

ขณะที่แสนธรรมดา แต่ยิ่งใหญ่ที่สุด

เท่าที่ มนุษย์จะเข้าถึง

Sunday, June 28, 2009

เกร็ดในระบบกฎหมายสื่อเยอรมนี ต่อกรณีบทบาทสื่อไทย


ผู้เขียนได้มีโอกาสมาพำนักอยู่ในประเทศเยอรมนี และได้มีโอกาสพลิกค้นตำรับตำราเกี่ยวกฎหมายสื่อของเยอรมนี จนค้นพบว่าระบบกฎหมายสื่อของเยอรมนีมีประเด็นที่น่าสนใจศึกษาอยู่มากมาย และประเด็นทางกฎหมายเหล่านั้น น่าจะนำไปสู่การขบคิดพิจารณาเพื่อหาคำตอบสำหรับบ้านเราได้ไม่มากก็น้อย

บทบาทของสื่อไทยกำลังเผชิญความท้าทายอย่างใหญ่หลวงในภาวะบ้านเมืองที่เกิดวิกฤตไม่หยุดหย่อน จนผู้เขียนเห็นว่า “ ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เกิดจากภาวะ วิกฤตที่สุด ( Chaos ) ของสื่อไทย” ซึ่งภาวะวิกฤตดังกล่าวมีสาเหตุมาจากบทบาทหน้าที่ของสื่อเอง ผู้ให้สัมภาษณ์ กระทั่งบทบาทที่ผิดพลาดของรัฐในการควบคุมสื่อ กรณีที่ผู้เขียนพยายามหยิบยกประเด็นในระบบกฎหมายสื่อของเยอรมนี ( Medienrecht) ก็เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้โปรดพิจารณาทบทวนบทบาทของตนและเข้าทำการคลี่คลาย Chaos สื่อ เพื่อคลีคลาย Chaos ทางการเมืองได้ต่อไป

กรณีความผิดฐานเผยแพร่ความคิดเห็นทางการเมืองที่เป็นอันตรายต่อระบบประชาธิปไตย
ประเทศสหพันธรัฐเยอรมนีเป็นประเทศที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้สื่อเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดขึ้นของพรรคนาซีสมัย อดอฟ ฮิทเล่อ เรืองอำนาจจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดการใช้กลยุทธ์โฆษณาประชาสัมพันธ์นโยบายชาตินิยมสุดขั้วผ่านทางสื่อที่มีอยู่ ณ ขณะนั้น การตระหนักถึงความร้ายแรงของการใช้สื่อจนนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ได้หล่อหลอมหลักกฎหมายอาญาของเยอรมนีไว้ในมาตรา ๘๖ ของประมวลกฎหมายอาญา ( Strafgeseztbuch ) ในฐานความผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่วาระทางการเมืองขององค์กรทางการเมืองที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ( Verbreiten von Propagandamitteln verfassungwurdriger Organisationen) เช่น วาระทางการเมืองของพรรคนาซีเยอรมนีเป็นต้น ฐานความผิดดังกล่าวแสดงออกอย่างชัดเจนว่า สื่อไม่ได้เป็นช่องทางที่เปิดกว้างที่ใครก็สามารถแสดงความคิดความเห็นได้ทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขต
ปัญหาที่ต้องพิจารณาตามมา คือ ขอบเขตในการแสดงความคิดเห็นนั้นดำรงอยู่ในแต่ละประเทศแต่ละสังคมอย่างไร ต่อกรณีความผิดอาญาตามมาตรา ๘๖ ของประมวลกฎหมายอาญาเยอรมันนั้น หากใช้มุมมองในเชิงสังคมวิทยากฎหมายจะพบว่า ฐานความผิดดังกล่าวเกิดขึ้น จากประสบการณ์ของสังคมเยอรมนีที่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ผลของการใช้สื่อเพื่อโฆษณาความคิดความเชื่อผิดๆของพรรคนาซี นั้นส่งผลกระทบต่อความเป็นประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด ด้วยเหตุนี้ความผิดฐานดังกล่าวจึงถูกบัญญัติไว้ในหมวดความผิดว่าด้วย “การกระทำอันเป็นผลกระทบต่อนิติรัฐและประชาธิปไตย” ( Gefaerdung des demokratischen Rechtsstaates) อันเป็นความผิดที่มีลักษณะเฉพาะตัวในสังคมเยอรมันที่ไม่มีเหมือนชาติอื่น เฉกเช่นเดียวกับประเทศไทยที่มีการบัญญัติความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ก็ด้วยเหตุผลทางสังคมวิทยาและอุดมการณ์เฉพาะของประเทศไทย คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งก็เป็นอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกที่สืบสายมาจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ดังนั้น งานทางนิติศาสตร์ของนักนิติศาสตร์และบรรดานักวิชาการไทยสายก้าวหน้าในความพยายามที่จะล้มล้างบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แท้จริงจึงหาใช่งานในทางนิติศาสตร์โดยแท้ไม่ แต่กลับเป็นงานในทางการเมืองในการเปลี่ยนความคิดความเชื่อของประชาชนที่ยืนอยู่บนอุดมการณ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เสียมากกว่า

หรือ กระทั่งความพยายามในการโจมตีล้มล้างองค์กรหรือสถาบันทางรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นในการเคลื่อนไหวของคนบางกลุ่ม คือ ข้อเท็จจริงที่สื่อต้องพิจารณาถึงบทบาทของตนในการที่จะต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือของการเผยแพร่อุดมการณ์ที่ขัดต่ออุดมการณ์ของประเทศ ในขณะเดียวกันบทบาทของรัฐในการเข้าไประงับยับยั้งการใช้สื่อเพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ต่างๆที่ขัดต่ออุดมการณ์ของประเทศแท้จริงเป็นหน้าที่โดยชอบธรรมหาใช่การแทรกแซงสื่อแต่อย่างใด

กรณีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาเยอรมนีมาตรา ๘๖ และความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากฎหมายได้ทำหน้าที่จัดวางบทบาทของสื่อต่อกรณีการกระทำที่เป็นอันตรายต่ออุดมการณ์ของประเทศ ดังนั้น สื่อจึงมีบทบาทเชิงรุกไปกระทำการ โดยการไม่เผยแพร่ความคิดใดที่ขัดต่ออุดมการณ์ของชาติ มิใช่ทำหน้าที่ผู้รายงานคำพูดของผู้ให้สัมภาษณ์ฝ่ายต่างๆโดยไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์และความถูกต้อง และในขณะเดียวกันรัฐเองก็ต้องรู้หน้าที่ของตน มิใช่ในฐานะผู้ร่วมรบในสงครามข่าวสาร หากแต่ผู้ดูแลรักษาอุดมการณ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในการเข้าไปจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อด้วยมาตรการทางกฎหมายที่ถูกต้องและได้สัดส่วน

บทบาทของสื่อสารมวลชนและของรัฐต่อ ความจริงแท้ของข้อมูล ที่เผยแพร่ผ่านสื่อ
ในระบบกฎหมายสื่อเยอรมนี สิทธิและเสรีภาพของสื่อต้องมีขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ ( Informationsinteresse der Allgemeinheit : Public Informationsystem ) ข้อมูลสาธารณะที่สื่อนำเสนอจะเป็นเครื่องมือที่ประชาชนใช้ในการกำหนดการตัดสินของตนในหลายๆด้านมิใช่เพียงแต่เพียงในทางการเมือง เช่น การเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นหากข้อมูลสาธารณะเป็นข้อมูลที่ไม่มีคุณภาพการดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตประชาชนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
มาตรา ๕ วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญเยอรมนี ได้บัญญัติรับรองสิทธิของประชาชนในการแสดงความคิดเห็น (Meinungsfreiheit,Freedom of Speech) ซึ่งการแสดงความคิดเห็นของประชาชนนั้นนอกจากจะถือเป็นสิทธิมนุษยชน ( Menschenwuerde : Humanright) แล้วยังถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่มีความเกี่ยวโยงกับสิทธิและเสรีภาพของสื่อ เพราะข้อมูลสาธารณะที่ถ่ายทอดผ่านสื่อย่อมต้องมีที่มาจากพูดคุย แสดงความคิดเห็นของประชาชน ทั้งประชาชนทั่วไป และผู้ที่เป็นแหล่งข่าว
ในระบบกฎหมายสื่อเยอรมนี สิทธิในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนประกอบไปด้วย สิทธิในการสร้างความคิดเห็นของตนเอง ( Meinungbildung ) และ การแสดงความคิดเห็นออกมาให้ปรากฏ ( Meinungsaeusserung) คุณค่าของคำพูดไม่ใช่สิ่งสำคัญ การแสดงความคิดเห็นทุกอย่างต้องได้รับการปกป้อง อย่างไรก็ตามพรมแดนแห่งสิทธิที่ได้รับการคุ้มครอง (Schutzbereich ,sphere of right) ไม่รวมไปถึง การพูดโกหก ต่อสื่อสาธารณะ
กรณีดังกล่าวได้มีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี ( Bundesverfassungsgericht ) ที่สำคัญ อาทิ คดี Sterbehilfe , คดี Auschwitzluege และคดี Bayer-Aktionaere โดยศาลรัฐธรรมนูญฯได้วางหลักการไว้ว่า “ ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง หรือ ข้อมูลที่ผิดพลาด ไม่อยู่ในพรมแดนแห่งสิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ”
เมื่อพิจารณาการแปลความของศาลรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี อาจนำไปสู่ข้อสรุปว่า “ การแสดงความคิดเห็นหรือข้อมูลของประชาชนไม่ว่าจะในสื่อสาธารณะหรือไม่ จะได้รับการคุ้มครองก็ต่อเมื่อ ความคิดเห็นนั้นเป็นความจริง ไม่มีการโกหก” ดังนั้นบทบาทของสื่อที่ถูกต้องจะต้องคัดกรองข้อมูลและชี้ขาดกับสังคมผ่านการรายงานข่าวสารว่า ข้อมูลความจริงเป็นเช่นใด มิเช่นนั้น ผลร้ายแรงที่ตามมา คือ ผลประโยชน์ของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ ( Informationsinteresse der Allgemeinheit: Public Informationsystem) จะถูกกระทบกระเทือนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบนำไปสู่การตัดสินใจกำหนดชะตาชีวิตของตนในสังคมตลอดจนอุดมการณ์ทางการเมืองที่ผิดพลาด และความวุ่นวายทางการเมืองก็จะตามไม่หยุดหย่อนจากความคิดความเชื่อที่ผิดของประชาชนที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ “การโกหก” ซึ่งผิดทั้ง ศีลธรรม ศาสนธรรม และหลักการที่ชอบธรรมแห่งกฎหมาย

ท้ายที่สุด ผู้เขียนเห็นว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆผ่านสื่อเป็นสิ่งที่ชอบธรรมที่ประชาชนสามารถกระทำได้ แต่การแสดงความคิดความเห็น ต้องไม่กระทบต่ออุดมการณ์ของประเทศชาติ ซึ่งมีกฎหมายคอยปกป้องรักษาอุดมการณ์เหล่านั้นอยู่ ในขณะเดียวกัน การแสดงความคิดเห็นต้องยืนอยู่บนฐานความจริง ซึ่งจะส่งผลดีต่อข้อมูลสาธารณะที่มีความเที่ยงแท้แน่นอน และประชาชนสามารถนำไปใช้ตัดสินใจกำหนดชะตาชีวิตของตนได้

สื่อสารมวลชน รัฐ ประชาชน จะต้องตระหนักถึงความสำคัญของระบบข้อมูลข่าวสารสาธารณะให้ดี เพราะในยุคข้อมูลข่าวสารครอบโลก ข้อมูลเป็นตัวกำหนดความคิด ทิศทาง การขับเคลื่อนของสังคม โดยเฉพาะสื่อ มิใช่จะนั่งคำนึงถึงแต่ อัตราการโฆษณา และปากท้องของตัวเอง แม้ว่าสังคมจะเป็นที่ทางให้ทุกคนได้ทำมาหากิน แต่สำหรับสื่อ การคำนึงถึงแต่การหากินนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม มิเช่นนั้น พระสงฆ์อาจจะออกมากบอกได้เช่นกันว่า อาตมาบิณทบาตรหากินไปวันๆ หากเป็นเช่นนั้น ใครกันจะสอนธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ลูกหลานเรา และโลกของเราคงไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่เป็นโลกของ คน ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่ ทำมาหากิน เท่านั้น

ศาสตรา โตอ่อน
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

Saturday, June 27, 2009

จุดโหวงเหวง


ชีวิตผมกลับตาลปัตรมาได้หลายระยะ
ผมรู้สึกว่า งานหลักของผม คือ การเดินทางเข้าไปภายใน
ส่วนงานที่เหลือเป็นงานรอง

บางทีผมรู้สึกว่า ทำไมผมขี้เกียจจัง
วันๆเอาแต่นั่งลืมตาเฉยๆ
และก็คอยตามรู้ตามดู
กายใจว่ามันจะเต้นระบำไปทางไหน

แต่บางทีก็กลับมาเตือนตัวเองว่า
อีการนั่งอยู่เฉยๆนี่แหละบางทีอาจเป็นหน้าที่หลัก
ของการเกิดมาเป็นคน
ที่ยังมีงานในเชิงวิวัฒนาการที่ต้องทำอีก

รู้สึก ถึงกายใจไปเรื่อยๆ
จนผมรู้สึกว่าตัวมันเบาๆขึ้น
ใจกระเทือนน้อยลง

จนมาถึงจุดที่ผมรู้สึกโหวงเหวง
เหมือนว่าตัวเองกำลังจะหายไป
แต่มันก็ยังมี
แต่มันก็โล่งๆ โหวงเหวงพิกล

........

สิ่งที่ผมพบด้วยความรู้สึก

ธรรมชาติของใจและกายย่อมส่งอออกนอกไปหาโลก
เราห้ามมันไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่เรา
หน้าที่ คือรู้สึกในทุกขณะว่าอะไรมันกระเพื่อมหวั่นไหว
แค่รู้ ก็จบแล้ว

ผมยังพบอีกว่า ธรรมะ เป็นเรื่องธรรมดา
ต้องรู้สึกอย่างคนธรรมดา
ธรรมดา คือ กายใจเป็นไตรลักษณ์

มันไม่เที่ยง ( อนิจจัง )
มันเป็นทุกข์ ( ทุกขัง )
มันบังคับไม่ได้( อนัตตา )

รู้สึก รู้สึก

ผมมาอยู่ในจุดโหวงเหวง
ไม่รู้ว่าต่อไปจะเจออะไรอีก

Wednesday, June 03, 2009

พึมพำ




<



ผมกลับจากเมืองไทยอีกครั้ง
การมาเรียนเมืองนอกในปีแรก
ผมกลับเมืองไทยไปสามครั้ง
เพื่อต่อสู้คดี และเดินตามทางของหัวใจกำหนด

ผมชนะคดีแล้ว เนื่องจากตำรวจและอัยการสั่งไม่ฟ้อง
ผมกลับเมืองไทยไปครั้งแรก
ไปด่า นายทักษิณ ว่าเป็น เปรต และเป็น หมา
ครั้งที่สองกลับไปเลยได้รับหมายเรียกให้ไปพบพนักงานสอบสวน

มีเกร็ดกฎหมายเกี่ยวกับคดีหมิ่นประมาท
ผมจำเลขคำพิพากษาไม่ได้ เพราะไม่อยากจำ
การด่าว่าอีกคน เป็นหมา หรือ เปรต
ไม่เป็นหมิ่นประมาท
เพราะ คนไม่มีทางเป็น หมา หรือ เป็นเปรต
ผู้ถูกด่าจึงไม่ได้รับความเสียหาย

ในหลายปีจากนี้ผมคงต้องเผชิญกับการเรียนที่หนักหน่วง
แน่นอนที่สุดห้องเครื่องของผม คือ หัวใจของผมเอง
และผมคงจะต้องใช้มันเพื่อตัวผมแบบเต็มๆ
เวลาแห่งการเดินออกนอกเส้นทางที่ควรทำ
น่าจะจบลงได้แล้ว

.......

การเมืองใหม่
การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ
เรื่องใหม่ที่อาจเข้ามาท้าทายในชีวิต

.......

ผมตระหนักอย่างแท้จริงอีกครั้ง

ว่าผมพึ่งใครไม่ได้

นอกจากหัวใจของตนเอง

..........

ความทุกข์มีข้อดี ล้านประการ
มันทำให้ผมอ่านธรรมะได้มากขึ้น
ได้ปรับปรุงชีวิต จิตใจ ให้ว่างเบามากขึ้น

บางครั้ง เราคิดว่าเรารู้แล้ว ผ่านแล้ว
เราตกอยู่ในความประมาท
แต่ความทุกข์ถ้ายังมีอยู่
มันจะมาเตือนเรา
เร่งรุดให้เราเข้าไปสำรวจตัวเองอีกครั้ง

ชีวิต ก็เหมือนกับฤดูกาล
ลงได้ ปักดำ หว่าน ไถ จนเก็บเกี่ยว
ก็ถึงเวลาที่ต้องพักหน้าดินบ้าง

บางทีผืนดินที่ได้กลับมาอยู่อย่างธรรมชาติ
แร่ธาตุ ต่างๆ จะได้กลับมาสะสม
และเมื่อความไพบูลย์ปรากฏ
เนื้อดินก็เป็นพื้นที่ให้ดอกไม้ป่า ได้งอกงาม
มิใช่เพียงแต่ธัญพืชในเกษตรอุตสาหกรรมเท่านั้นที่งอกงามได้

...............

Tuesday, April 28, 2009

ในโลกียะ คือ ตาข่ายที่ไม่มีช่องเล็ดรอดจากความทุข์


โลก คือ ตัวเรา คือ กายเรา คือ จิตเรา
เราที่แท้จริงหรือกระทั่งไม่มีเรา ถูกกักขังไว้ในโลก
เพื่อให้เราสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งภายนอก
โลกต้องสร้างมายาคติ เพื่อบีบเค้น กดดันเรา
ให้โลดแล่นไป
........
จากประสบการณ์ของข้าพเจ้า
สิ่งภายนอกมักสร้างความไว้วางใจให้กับเรา
เพื่อให้เราโลดไหลไป
เรา และคุณ ต่างโลดไหลไปในกันและกัน
เพราะกายเรา ใจเรา และสิ่งภายนอกล้วนเกี่ยวข้องกัน

มิใช่แต่เรา รวมถึง สังคมของเรา ทัศนคติของเรา
กิน กาม เกียรติ ที่เราใฝ่หา
ล้วนล่อลวงเรา
ชาติของเรา ความคิดของเรา
ตำแหน่ง อนาคต ความภูมิใจ
สายตา ความงาม
ล้วนเป็นเหยื่อล่อชั้นดี
กระทั่งความรัก
..........
เราอาจเรียกทั้งหมดว่า โลกียะ
โลกียะที่ครอบคลุมบีบเค้นหัวใจของเรา
หลอกเรา ให้เข้าหา ปรุงแต่ง พลังหลากชนิด
ครอบคลุมหัวใจของเรา
ให้เรายิ้ม หัวเราะ
ให้เราพอใจในรูปที่ปรากฏ
เสียงที่ได้ยิน
กลิ่นที่ได้ดม
รสสัมผัสที่ได้รับ
รสที่ได้ลิ้ม
กระทั่งมายาแห่งความรู้สึกทางใจ

.........

ประสาทสัมผัสแท้จริง คือ ซิมโฟนี วงใหญ่
ที่บรรเลง ออเคสตร้า แห่งชีวิตอันสลับซับซ้อน
เป็นวงที่มี สิ่งแวดล้อม รอบตัวเรา เป็นวาทยากร
มันบรรเลงเพลงหลายจังหวะในหัวใจเรา

เมื่อเวลาอันเหมาะควรมาถึง
เมื่อท่วงทำนองแสนหวานผ่านพ้น
ฉับพลันที่เราโง่อย่างได้ที่

ไวโอลิน แชลโล่ วิโอล่า เบส
ทรุมบ้า กีต้าคลาสสิก ก็เสียดสี
บรรเลง กระหน่ำ ความทุกข์ใส่โลกของเราไม่หยุดหย่อน
หัวใจของเราแทบไหม้ไฟ
และไม่มีที่ทางให้เราหนีรอดออกจากความทุกข์ได้เลย
...........

โลก คือ กายเรา ใจเรา
กายเรา ใจเรา ที่เปลี่ยนแปรมิหยุดหย่อน
กายเรา ใจเรา ที่หักมุมไปสู่ความทุกข์ไม่หยุดหย่อน
กายเรา ใจเรา ที่เราคิดว่าเป็นของเรา
แต่ที่จริง มันไม่ใช่เรา เพราะเราไม่เคยควบคุมมันได้เลย

...........

ในกายเรา ใจเรา พระพุทธองค์ เรียกสั้นๆว่า โลกียะ
แท้จริง คือ ตาข่ายที่ไม่มีช่องเล็ดรอดออกจากความทุกข์ได้เลย

เรากระทั่งผู้ที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุดแท้จิรงก็เป็นเพียงนกน้อย ปีกอ่อน
ที่ติดกับดักอย่างง่ายดาย
กับดักที่พร้อมจะบดเส้นใยของมันลงกลางหัวใจของเรา
และเมื่อลมพัด เส้นใยก็บิดเกลียวบาดลึกเข้ากลางหัวใจ
จนเลือดไหลโทรม เจ็บปวดเกรอะกรัง

.........

ด้วยความสัจ ข้าพเจ้ายอมรับว่าข้าพเจ้าเป็นมนุษย์บ้าบอคนหนึ่ง

แต่เชื่อไหม

ข้าพเจ้ากำลังหาทางออกจากมันให้ได้
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

แม้ว่าข้าพเจ้าจะบ้า

แต่ข้าจะไม่ยอมเป็นนกน้อยตัวนั้นอีกแน่นอน
เพราะชะตากรรมของมันโหดร้ายเกินไป

Monday, April 27, 2009

๓๑ แบบโง่ๆ


เมื่อสองสามวันก่อน ผมเพิ่งอายุครบ ๓๑ ปี
กิจกรรมหลัก คือ เรียนหนังสือ และ ดูตัวเอง
ยิ่งดูตัวเองมาก ยิ่งเห็นความโง่ในตัวเอง

ความโง่ มีรูปแบบมากมาย
ผุดพรายอยู่ตลอดเวลา

ยิ่งโต ยิ่งตระหนักถึงความโง่ของตัวเอง

ยิ่งโต ยิ่งเห็นความทุกข์อยู่รายรอบหัวใจ

.........

๓๑ ผมตระหนักว่า สงครามที่ยิ่งใหญ่

คือ สงครามต่อสู้กับความโง่ของตัวเอง

Monday, April 20, 2009

สีหนาทบันลือ


ฝูงสิงโต ย่อมเดินตาม จ่าฝูง
จ่าฝูง ต้องมีริ้วรอยแผล
เพราะริ้วรอยแผล คือสัญญลักษณ์แห่งการต่อสู้

ในรอยแผล ย่อมบ่งบอกบางห้วงเวลาที่ต้องเยียวยารักษา
แต่จ่าฝูง จะแกร่งขึ้น
และกลับมาบัญชาฝูงสิงโต
ด้วยสีหนาทบันลือ
เพื่อกู้ประกาศธรรม อันเป็นธงชัย
แห่งเรา

Saturday, April 18, 2009

ความฝันของบักคำม่วน


เพลิงผลาญรถเมล์เล่นราวเด็กซนประโดกจุดประทัดเล่นกลางกรุงเทพทวาราวดี
ไอ้เด็กซนคะนองคึกสาดไฟฟอนสุมขอนกลางใจพระนครและกลางใจผู้คนผู้รักสันติธรรม

ความเติบโตใต้สันดาน จากเด็กวิ่งซนขึ้นต้นไม้ ตะขบ มะยม มะไฟ
จบประถม มัธยม สันดานดิบก็กระโดดกระเดี้ยเรี่ยราด
เผลออีกทีพอนมแตกพาน ก็พบตัวเองกับเหงื่อไคลย้อย
กลางสนามโรงเรียนนายร้อย ตำรวจสุนัข วิ่งแข่งกับสุนัขตำรวจ

ยศถาบรรดาศักดิ์ อำนาจเงินตรา มิสำคัญอันใด
แต่สันดงสันดานกลับบานตะเกียงซุ่มเงียบในดวงจิต
ดาวร้อยประบ่าสวยยิ่งกว่าบ่าน้องนางระเรี่ยด้วยสยายผม

ดาวน้อย ร้อยตำรวจตรี สุรา นารี
รถไฟ เรือ เมล์ ลิเก ตำรวจ
เสือ สิงห์ กระทิง แรด เหี้ย ตำรวจ นักการเมือง
ชาติพันธ์วรรณามิใช่แบ่งแยกแค่ สัตว์ พืช หรือ ผิวพรรณ


นกไม่สามารถบินแบบระยำได้
สิงโตกระโดดฟาดกรงเล็บลงหลังกวาง อิ่มแล้วก็นอนใต้ต้นไม้
จระเข้ ชาละวัน พิจิตร งับเงิบๆ พออิ่มก็นอนอ้าปากเบิกบาน

คนกับสันดาน ขยายกรอบขอบเขต กู กันยกใหญ่
อวิชชา เป็นมูล พระพุทธองค์กล่าวแบบสุภาพ โฉน ลำไพ แปลเป็นไทยว่า โง่

ฮิตเล่อ กิสข่าน นโปเลียน อีดี้ มากอส ปิโนเช่
คนเหล่านี้ เคยเท่ห์เพราะมีพวกสุนัขคอยยกยอ
สันดาน สันดอน อ้ายสี อีเพ็ญ สองผัวเมียชาวไร่
ช่วยขุดเท่าไร คงไม่ขึ้น

อีลำไย ยังนั่งฟังกอฟ ไมค์ อยู่ใต้ต้นมะขวิด
สาวนาสั่งแฟนตกกระป๋องเมื่อ นักร้องไทยกระแดะเป็นเจ Pop
เสียงเครื่องขยายเสียงสิบแปดหลอด ของ ส.ส.
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เชิญชวน ให้ไปร่วมการปฏิวัติเปรต

สันดานการเมือง ยังถ่ายทอด แพร่พันธ์
แม้บักสี อีจำปา จะนอนก่ายกันข้างกองฟาง
แต่ความสุขง่ายๆของไอ้อี
บรรดา พณ หัวเจ้าท่าน ไม่พอเพียง


บักสี อีจำปา แจ้ง ใบตอง โฉนลำไพ
ตายห่าไปนานแล้ว

ไอ้จุกร้องงอแง เมื่อพลักตกต้นตะขบ
ไอ้แดงยืนหัวเราะ
ตาสี นั่งตกปลา
มวนใบยาสูบ
..............

พระนคร จะเป็นอย่างไร
ก็ช่างหัวมัน

กรูไม่อาจขุดสันดอนใครได้

บักม่วน อุทาน บนกกเสื้อใต้ต้นก้ามปู
ลมเย็นสบาย

.........

ไม่รู้ใครโง่ ไม่รู้ใครใหญ่ กว่าใคร
นั่นนะสิ

Friday, April 17, 2009

อภิสิทธิ์อย่าทอดทิ้งคนเสื้อแดง มองเมืองไทยหลังสงกรานต์วิปโยค



โดย ศาสตรา โตอ่อน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
มติชนรายวัน ๑๗ เมษายน ๒๕๕๒ หน้า ๗



การเกิดขึ้นของจลาจลในกรุงเทพมหานคร คือ ความขนพองสยองเกล้าในสายตาของพี่น้องชาวไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินทุกคน คือ การแสดงออกซึ่งการไร้ซึ่งอารยธรรมประชาธิปไตยที่ปรากฏต่อนานาประเทศอย่างมิต้องสงสัย

การจัดการสลายการชุมนุมของรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นสิ่งที่จำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และการปราบปรามของทหารเป็นการกระทำของฝ่ายปกครองที่ได้สัดส่วนอย่างไม่น่าเชื่อ

และต่อจากนี้การเร่งฟื้นฟูบูรณะประเทศต้องดำเนินไปอย่างละเอียดรอบคอบ ระมัดระวัง และสุขุมคัมภีรภาพ ซึ่งผมเชื่อมั่นว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะสามารถทำได้

แน่นอนที่สุด ณ วันนี้ คนเสื้อแดงกำลังกลายเป็นจำเลยของสังคม ทั้งสังคมไทยและสังคมโลก แต่เขาเหล่านั้นก็เป็นชาวไทยเหมือนกับเราท่าน ซึ่งข้อนี้ คุณอภิสิทธิ์ก็ได้แสดงความงามน้ำใจโดยการขอบคุณพี่น้องเสื้อแดงที่ให้ความร่วมมือในการสลายการชุมนุมโดยการเดินทางกลับบ้าน เดินทางกลับสู่ชีวิตเดิมๆ คือ ชีวิตที่เกี่ยวพันกับราคาพืชผลตกต่ำ รายได้น้อย หวย และความสิ้นหวังและแน่นอนที่สุดจะไม่ให้เขาเหล่านั้นคิดถึงคุณทักษิณ ก็คงเป็นไปไม่ได้

แม้ทักษิณ ชินวัตร จะกระทำการสิ่งเลวร้ายไว้มากมาย แน่นอนที่สุดเขาต้องกลับมาเข้าคุกตามคำพิพากษาเพื่อดำรงไว้ซึ่งกระบวนการยุติธรรม แต่ทักษิณ ชินวัตร มิใช่หรือ ที่พี่น้องเสื้อแดงรู้สึกว่าเขาเป็นดังเพื่อนที่รู้ใจ เพื่อนที่เข้าใจความแร้นแค้นของเขาเหล่านั้น เพื่อนที่ครั้งหนึ่งเคยจุดประกายความหวังและยังความสุขให้กับเขาเหล่านั้น ผ่านโครงการหลากหลายที่พี่น้องเสื้อแดงรู้สึกว่าจับต้องได้

สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ไม่อาจมองข้าม และพี่น้องชาวไทยไม่ว่าสีเสื้อใดก็ไม่ควรมองข้าม

ความเกรี้ยวกราด ของพี่น้องชาวไทยเสื้อแดงที่แสดงออกในหลายวันที่ผ่านมา หลายคนอาจวิเคราะห์ว่ามีสาเหตุมาจากการรับเงิน หรือการสมัครใจกระทำอันเป็นผลจากการปลุกระดมของเหล่าแกนนำคนเสื้อแดง

แต่สิ่งที่ต้องพิเคราะห์ต่อไป คือ ทำไมคนไทยเหล่านี้ จึงต้องมารับเงินไม่กี่พันบาทเพื่อแลกกับการกระทำที่เขาเหล่านั้นต้องเสี่ยงภัยถึงชีวิต และทำไมการปลุกระดมมวลชนจึงได้ผล จนคนเสื้อแดงสมัครใจเข้าก่ออาชญากรรม

เขาเหล่านั้นรู้หรือไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นผิดกฎหมาย

แน่นอนที่สุดเขารู้ แต่อะไรที่ทำให้คนเหล่านั้น กระทำไปทั้งที่รู้ ลำพังการปลุกระดมก็อาจมีอาจมีผลมากมายต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนในชุมนุม แต่ผู้เขียนมีความเชื่อว่า ในบรรดาคนเสื้อแดง มีคนมากมายที่เขาต้องรู้สึกว่าสังคมไทยไม่มีความยุติธรรมสำหรับเขา ผู้เขียนใช่คำว่าสังคมไทยทั้งสังคม มิได้หมายถึงชนหมู่ใด ชั้นใด องค์กรหรือสถาบันใด แต่คือ สังคมทั้งสังคม ความอยุติธรรม ดังกล่าว

ผู้เขียนไม่ขออธิบายด้วยถ้อยคำในทางวิชาการซึ่งมีมากมาย และโดยส่วนใหญ่เป็นคำอธิบายโดยนักปราชญ์ฝรั่ง

แต่ความอยุติธรรมที่ว่า คือ ความรู้สึกที่คนเสื้อแดงจับต้องอยู่ทุกวันกับเงินรายได้ที่แสนต่ำ ความเหนื่อยยากและความฝันลมๆ แล้งกับหวยงวดต่อไป มันไม่มีนิยามทางวิชาการมาอธิบาย แต่มันเป็นความอยุติธรรมที่จับต้องได้ในความรู้สึกของคนเสื้อแดง สิ่งนี้กระมังที่ผลักดันคนเสื้อแดงให้กระทำการจลาจลได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ซ้ำยังมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องด้วยซ้ำ

ผู้เขียนจำต้องเขียนโดยไม่ใช่ข้อมูลหรือศัพท์แสงทางวิชาการ แต่ใช่ความรู้สึก เนื่องจากทักษิณ ชินวัตร เป็นอัจฉริยะในการเล่นและหาประโยชน์จากความรู้สึก หากไม่เข้าใจผ่านความรู้สึกของคนเสื้อแดง รัฐบาลอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์อันแสนเชื่องช้าและทึบซึม คงไม่อาจพัฒนาให้ดีขึ้นได้ ดังเช่นที่ปรากฏนโยบายต่างๆ ที่เดินตามก้นทักษิณ ชินวัตร ซึ่งผู้เขียนยังคงมีความเชื่อว่าหากทักษิณ ชินวัตร ไม่กระทำการคอร์รัปชั่น หรือมักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินไป สิ่งที่คนผู้นี้จะได้รับ คือ การเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งสองสมัยแบบครบเทอม พร้อมทั้งการครองอำนาจของพรรคไทยรักไทยได้อีกยาวนาน

และในอนาคตเขาอาจกลายเป็นรัฐบุรุษคนสำคัญของชาวไทยและชาวโลก

แม้ว่าตอนนี้คนเสื้อแดงจะกลับบ้านไปพร้อมกับความย่อยยับทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่คนเหล่านี้ไม่เคยได้รับส่วนแบ่ง เศรษฐกิจที่บรรดาอดีตวาณิชธนกิจ เช่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้รับ แต่คนเสื้อแดงไม่เคยรู้สึกถึงความกินดีอยู่ดีเฉกเช่นคนเมืองหลวงหรือชนชั้นกลาง

แน่นอนที่สุดที่การตอบคำถามสื่อของนายอภิสิทธิ์ต่อสำนักข่าว CNN และ BBC นายอภิสิทธิ์จะกำชัยทั้งในเชิงภาษาและความชอบด้วยกฎหมายเหนือ ทักษิณ ชินวัตร อย่างไม่เห็นฝุ่น

แต่สิ่งที่นายอภิสิทธิ์จะต้องทำ และต้องยอมรับ คือตลอดมาพรรคประชาธิปัตย์ ได้แต่กินฝุ่นเรื่องนโยบายของทักษิณ ชินวัตร และทำได้แต่อาศัยการช่วงชิงจังหวะทางการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาล

สิ่งเหล่านี้เป็นช่องโหว่ของประชาธิปัตย์ที่นายอภิสิทธิ์ต้องอุดรอยรั่วให้ได้ มิใช่เพื่อประชาธิปัตย์แต่เพื่อนคนไทยทุกคน

เหตุการณ์การเมือง สงกรานต์วิปโยค แม้จะยังความเศร้าสลดหดหู่มาสู่หัวใจเราท่านชาวไทยทุกคน เพราะภาพความรุนแรงปรากฏชัดผ่านสื่อและการกระทำเย้ยกฎหมายเป็นสิ่งที่ต้องจัดการ ตามหลักนิติรัฐและนิติธรรม

แต่ความสลดหดหู่ของชีวิตชาวเสื้อแดง หรือคนยากจนในต่างจังหวัดในทุกเมื่อเชื่อวันบางทีอาจโหดร้ายและซึมลึกยิ่งกว่าการเผารถประจำทางซึ่งเป็นเพียงอาการของโรคมะเร็งการเมืองไทย

คุณอภิสิทธิ์เมื่อคุณได้รับโอกาสและคุณพาชาติรอดมาได้ในวิกฤตที่ผ่านมา ขอวิงวอนให้คุณอย่าทิ้งคนเสื้อแดง เหมือนที่เหล่าแกนนำกำมะลอของเวทีคนเสื้อแดงทอดทิ้งตามยถากรรม ผู้เขียนพูดในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่อยากเห็นความวัฒนาสถาพรของประชาชนชาวไทยและกรุงรัตนโกสินทร์สืบไป

Tuesday, April 14, 2009

โกยเถอะโยม



สมัยก่อนแถบภาคกลางชอบมีเสืออาละวาด
เสือมันอยู่กันเป็นชุม
ออกปล้นฆ่า ไม่มีเว้น
เป็นเรื่องราวของยุคไกปืนเที่ยง

มา พ.ศ.นี้
ชุมโจรแตกแล้ว


ภาพหนึ่งที่น่าสังเวชหลังชุมโจรแดงแตก

พระที่เข้าร่วมกับชุมโจรแดง
หนีกลับวัด พร้อมกับพัดลม
ไฮโซจริงๆ


ในขณะที่หัวหน้าโจรไฮโซกว่า
นั่งเริงร่าดูความฉิบหายอยู่ดูไบ